นางพลันนึกถึงเนื้อความที่ฟูโกต์ เขียนใน ‘กฎระเบียบและการลงโทษ’ ขึ้นมาว่า ‘ในสายตาของผู้คน การลงโทษที่โหดร้ายนั้นป่าเถื่อนพอๆ กัน หรือกระทั่งมากกว่าตัวผู้กระทำความผิดเองด้วยซ้ำ มันทำให้ผู้ที่เห็นเคยชินกับการกระทำที่รุนแรงซึ่งเดิมทีต้องการให้พวกเขาสะอิดสะเอียน มันมักแสดงให้พวกเขาเห็นถึงการทำผิดกฎหมาย ทำให้เพชฌฆาตเปลี่ยนไปเป็นผู้กระทำความผิด ทำให้ผู้พิพากษาเปลี่ยนไปเป็นฆาตกร ครั้นแล้วในนาทีสุดท้ายก็สับเปลี่ยนบทบาทกันไปหมด ทำให้ผู้กระทำความผิดที่ถูกลงโทษกลายเป็นคนที่น่าเวทนาสงสารหรือน่ายกย่องสรรเสริญ’
จิตใจของมนุษย์เช่นนี้ในสมัยราชวงศ์หมิงก็มีอยู่
บนลานประหารชีวิตที่ศิษย์อาจารย์ของสำนักศึกษาถงจยาต้องจบชีวิตอย่างอนาถมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงความเวทนาสงสารและยกย่องสรรเสริญปัญญาชนเหล่านี้
ทว่าความเวทนาสงสารเช่นนี้ไม่มีให้กับขันทีและสตรี
ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงคิดที่จะตอบโต้ยุคสมัยนี้
แต่ความจริงแล้วก็พูดไม่ได้ว่าตอบโต้ นางเป็นเพียงคนในยุคสมัยปัจจุบันคนหนึ่งที่ต้องการเปิดช่องทางอย่างถ่อมตนเพื่อให้ประวัติในช่วงที่น่าสังเวชใจของคนคนหนึ่งสิ้นสุดอยู่ในสมุดบันทึกของนางด้วยดี ตอนจบไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์มากนัก ขอเพียงเติ้งอิงยังสามารถเป็นเช่นเมื่อครู่ หยิบเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนในห้องเล็กๆ แล้วไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าตามช่วงเวลาที่กำหนด จากนั้นก็กลับมาดื่มน้ำอุ่นสักถ้วยหนึ่ง อังข้อเท้าให้อบอุ่นแล้วเข้านอนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องของวันพรุ่งนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่หยางหวั่นไม่รู้ว่าเพื่อตอนจบเช่นนี้ ตัวนางเองต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไรบ้าง
ถ้าบอกว่านางเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นนั้นก่อนจะเปลี่ยนแปลงตอนจบ สิ่งที่นางต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือกำจัดความเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของตนเอง
นางหวาดกลัว ดังนั้นนางจึงต้องการห้องพักห้องหนึ่งที่ให้ความรู้สึกปกปิดอย่างนุ่มนวลดุจผ้าแพรต่วนที่ห่อหุ้มร่างกาย
แสงสว่างบนท้องฟ้าใกล้จะลาลับ วาดเงาร่างจางๆ ของนางไว้ที่พื้น
หยางหวั่นยื่นมือไปคลำหาเสื้อผ้าของเติ้งอิง สวมเสื้อตัวบนเรียบร้อยแล้วก็สอดกางเกงเข้ามาที่ขาทั้งสองข้าง
ผ้าแพรที่นุ่มลื่นเสียดสีผ่านบั้นท้ายของนาง สุดท้ายก็บดบังรอยแผลเป็นที่เอวและหน้าท้องไว้
หยางหวั่นผูกสายผูกทุกจุด กอดหัวไหล่แล้วค่อยๆ ขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม
เสื้อผ้าของเติ้งอิงแนบติดกับผิวหนังของนาง เนิ่นนานก็ยังไม่อบอุ่น
นอกหน้าต่างมีเสียงฝนตกพรำๆ แสงยามสายัณห์ค่อยๆ โรยตัวลงมา เงาของใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนไหวเอนไปมาบนหน้าต่าง
เสียงฤดูใบไม้ร่วงหลายเสียงสอดแทรกเข้ามาในห้วงฝันอันสั้น
หยางหวั่นหลับตาลง ไม่รู้อย่างไรจู่ๆ ก็นึกประโยคถัดไปออก เม็ดฝนหยดต้องใบกล้วยใต้ชายคา…
ตอนเติ้งอิงกลับมาจากหน่วยโรงอาบ ตะเกียงในห้องพักยังคงสว่างอยู่
หลี่อวี๋เปิดประตูห้องของตน เห็นเติ้งอิงถือร่มยืนอยู่หน้าประตูเป็นนานไม่เข้าไป จึงขยับเข้ามาถาม “นางยังไม่ไปหรือ”
เติ้งอิงพยักหน้า
หลี่อวี๋สูดจมูกทีหนึ่ง “นางกับพี่สาวข้าไม่เหมือนกันจริงๆ”
เติ้งอิงไม่อยากกล่าวต่อคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนมือสัมผัสถูกกลอนประตูก็ถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ”