หยางหวั่นรับร่มมาแล้วกล่าวกับหยางจิงเสียงเบา “พูดไปตามความเป็นจริงก็พอ ไม่ต้องกลัว”
จางลั่วรอหยางจิงไปแล้วจึงแสดงท่าทีให้ทุกคนถอยไปด้านหลัง จากนั้นก็ก้มหน้ามองหยางหวั่น
“อยากถามอะไรก็ถามมาตอนนี้เสีย”
หยางหวั่นยิ้ม “ข้าโกหกท่าน”
“อะไรนะ”
“ข้าไม่ได้อยากถามอะไร ข้ารู้กระทั่งว่าเพราะเหตุใดท่านถึงต้องพาน้องชายข้าไป”
“เจ้าพูดอะไร”
หยางหวั่นเงยหน้า “เถ้าแก่ร้านชิงปอก่วนเคยไปหาท่านที่กองเจิ้นฝู่เหนือใช่หรือไม่”
จางลั่วตกตะลึง จากนั้นก็บีบข้อมือหยางหวั่น “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หยางหวั่นเจ็บจนเสียงสั่น แต่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว “เพราะข้าอยากให้ท่านตรวจสอบคดีที่อยู่ในมือท่านคดีนี้ให้ดี”
“เป็นเจ้าที่สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ร้านชิงปอก่วน”
“ใช่”
“จับตัวนางไว้”
เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้าเฉยเมย เซี่ยวเว่ยหลายคนก้าวเข้ามาทันที กดหัวไหล่หยางหวั่นให้นางคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่หัวเข่ากระแทกถูกพื้น นางก็เจ็บจนแทบร้องออกมา แต่นางไม่ได้ดิ้นรน เพียงหัวเราะออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองตาจางลั่ว
“ท่านคิดจะใช้ทัณฑ์ทรมานกับข้าอีกครั้งหรือ ด้วยสาเหตุอะไร สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพร จากนั้นเล่า ข้าฉกฉวยเงินทองหรือวางยาพิษเอาชีวิตผู้คนกัน ท่านจะตัดสินโทษข้าอย่างไร แล้วท่านมีพยานหรือไม่”
จางลั่วตัดบทหยางหวั่น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไม่ทำอะไร” หยางหวั่นตอบเสียงเรียบ “แค่ให้ท่านทำเรื่องที่ท่านอยากทำ ใต้เท้าจาง ในมือท่านตอนนี้คงจะมี ‘คำนิยม’ ที่พี่สาวข้าเขียนแล้วกระมัง และคงจะทูลฝ่าบาทแล้ว จากนี้ก็เพียงตรวจสอบไปตามคำนิยมนี้ ใต้เท้าจาง ข้าจดจำมาโดยตลอด ท่านเคยบอกข้าว่าท่านจะไม่ปล่อยให้ฝ่าบาทถูกปิดบังอำพรางใดๆ ท่านจะต้องตรวจสอบจนถึงที่สุด ข้าหวังว่าเมื่อความจริงปรากฏ ใต้เท้าจะยังคงปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกับที่ท่านปฏิบัติต่อข้าในตอนนั้น”
จางลั่วกล่าวเสียงเยียบเย็น “อาศัยคำพูดเหล่านี้ของเจ้า ข้าก็สามารถเริ่มตรวจสอบจากเจ้าได้”
หยางหวั่นส่ายหน้า ยิ้มพลางบอกว่า “เมื่อก่อนข้าเป็นนางข้าหลวงของกองงานพิธีการ ท่านจะเอาตัวข้าไปไม่จำเป็นต้องแจ้งใคร แต่บัดนี้แม้ข้าจะยังคงเป็นบ่าว ทว่าแบกรับหน้าที่ปรนนิบัติดูแลองค์ชาย จัดการงานการในตำหนัก ก่อนท่านจะพาตัวข้าไปจำเป็นต้องทูลขอพระบัญชาจากฝ่าบาท จับตัวข้าไปคุมขังโดยไม่มีหลักฐาน ท่านเอาองค์ชายไปวางไว้ที่ใด”
นางกล่าวคำนี้จบพลันมีเสียงองค์ชายอี้หลางดังขึ้นมาจากบนหน้ามุข
“ผู้กำกับการจาง”
จางลั่วเงยหน้าขึ้น องค์ชายอี้หลางยืนจับราวกั้นอยู่ด้านข้างของหน้ามุข เขาไม่ได้เดินลงมา เพียงก้มหน้าลงกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ด้านล่างจากที่สูง สุดท้ายก็หยุดสายตาอยู่ที่ร่างจางลั่ว
“เพราะเหตุใดถึงปฏิบัติต่อท่านน้าของข้าเช่นนี้”
จางลั่วทำความเคารพและกำลังจะรายงาน แต่กลับได้ยินองค์ชายอี้หลางกล่าวขึ้นอีก
“ท่านเห็นข้าอายุยังน้อย ท่านน้าก็อ่อนแอ จึงกระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้ที่หน้าตำหนักเหวินหวาใช่หรือไม่”
จางลั่วฟังคำพูดประโยคนี้จบก็คุกเข่าลงแล้วบอกว่า “กระหม่อมมิกล้า”
“ท่านไม่กล้าก็ปล่อยท่านน้าของข้า หาไม่ข้าจะทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษท่านในความผิดฐานสร้างความวุ่นวายที่ตำหนักเหวินหวา”
จางลั่วไม่อาจลุกขึ้น ได้แต่ยกมือแสดงท่าทีให้คนที่อยู่ด้านหลังถอยออกไป
หยางหวั่นยันพื้นลุกขึ้นมา เงยหน้ามองไปที่องค์ชายอี้หลาง
สีหน้าองค์ชายอี้หลางไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด “ท่านน้ามาหาข้า” เขาพูดจบก็ชี้ไปที่จางลั่วแล้วบอกว่า “ก่อนที่ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อ ท่านไม่อาจลุกขึ้น”
จางลั่วคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ได้เอ่ยตอบ
องค์ชายอี้หลางมองเขาแล้วกล่าวเสริมอีก “เสด็จพ่อก่อตั้งกองเจิ้นฝู่เหนือเพื่อสยบคนที่กระทำความผิด ท่านทำเช่นนี้กับท่านน้าของข้า ข้ารู้สึกดูแคลนอย่างยิ่ง”
เป็นครั้งแรกที่หยางหวั่นได้เห็นองค์ชายอี้หลางเดินอยู่ข้างหน้านางเพียงลำพัง
เมื่อใดที่ร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มเติบโตขึ้นก็เหมือนกับหน่อไม้หลังฝนตก
หยางหวั่นอยู่ข้างกายเขามาโดยตลอดจึงยังรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อหวนนึกถึงตอนที่ตนเพิ่งเข้าวังมา เขายังเป็นเด็กที่แกว่งแขนนางพลางร้องจะดูนางเสกคนตัวเล็ก แต่มาวันนี้ร่างกายยืดสูงและผ่ายผอมลงแล้ว หัวไหล่และแผ่นหลังเหยียดตรง การเติบโตในชั่วพริบตานั้น ภายนอกปรากฏที่รูปร่าง ภายในปรากฏที่จิตใจ ทำให้คนตกตะลึงอย่างแท้จริง