ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 105
บทที่ 105
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง ราชสำนักกำลังโต้เถียงกันไม่หยุดว่าจะส่งใครไปปราบปรามวอโค่วดี ใครก็มองออกว่านี่เป็นสงครามที่ต้องคว้าชัยได้แน่นอน ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึงแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ใครก็อยากแบ่งน้ำแกงข้นถ้วยหนึ่ง* จากสงครามครั้งนี้ทั้งนั้น
ราชสำนักฝ่ายหน้าต่อสู้ฟาดฟันกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฮ่องเต้กลับมิได้เอนเอียงไปฝ่ายใดเป็นพิเศษ หลังเลิกประชุมยังจัดการกับหนังสือกราบทูลตามปกติ พอเหนื่อยก็ไปพักผ่อนที่ตำหนักใน วันนี้พระชายาที่ฮ่องเต้ไปหาคือเฉาตวนเฟย ฟังเหล่าขุนนางโวยวายเรื่องสงครามมาทั้งวัน ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญใจ อยากหาสถานที่ผ่อนคลายพักผ่อนกายา
เฉาตวนเฟยอ่อนโยนร่าเริง ช่างเจรจาพาที เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อย่างยิ่ง อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ก็อายุแปดเดือนแล้ว อยู่ในช่วงวัยที่น่ารักที่สุดของทารก ฮ่องเต้แม้จะมีพระโอรสสามองค์แล้ว แต่องค์ชายเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งรัชทายาท พระชายาทั้งสามไม่ว่าเดิมทีจะมีนิสัยอย่างไร หลังจากให้กำเนิดองค์ชายล้วนเปลี่ยนเป็นคิดถึงผลประโยชน์ทุกย่างก้าว วาจาทุกคำล้วนคิดคำนวณมาเป็นอย่างดี ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ชอบไปวังของเจาเฟย คังเฟย และจิ้งเฟย ฮ่องเต้ชอบมาหยอกเย้าองค์หญิงใหญ่จูโซ่วอิงที่พระองค์สามารถรักใคร่โปรดปรานได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากกว่า
คนเก่าแก่ในวังที่มีอุบายบางคนเห็นสถานการณ์นี้แล้วขยันวิ่งมาวังของตวนเฟยมากกว่าเดิม เฉาตวนเฟยอ่อนเยาว์และเป็นที่โปรดปราน ทั้งยังมีองค์หญิงใหญ่คอยผูกใจของฮ่องเต้ การตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น
เฉาตวนเฟยอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง ร่างกายแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ครั้งหน้าอาจจะให้กำเนิดพระโอรสได้ องค์ชายสี่แม้เบื้องบนจะมีพี่ชายอยู่สามคน แต่ทุกคนล้วนมิใช่โอรสองค์โตและมิใช่โอรสสายตรง ใครจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทมิพ้นต้องดูว่ามารดาของผู้ใดเป็นที่โปรดปรานมากกว่า ในจุดนี้พระโอรสของเฉาตวนเฟยยังไม่ทันถือกำเนิดก็เป็นฝ่ายได้เปรียบไปก่อนแล้ว
คนในวังอี้คุนรับเสด็จอย่างคล่องแคล่ว เฉาตวนเฟยกับฮ่องเต้ไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่ด้วยกัน สองคนเล่นกับองค์หญิงใหญ่อยู่นาน จนกระทั่งองค์หญิงใหญ่เหนื่อยแล้วจึงถูกแม่นมอุ้มออกไป หลังจากนั้นเฉาตวนเฟยกับฮ่องเต้ก็กลับมาอยู่ด้วยกันตามลำพังในตำหนักกลาง เฉาตวนเฟยงามเฉิดฉัน อ่อนโยนยิ้มเก่ง เวลาอยู่กับฮ่องเต้มีนิสัยร่าเริงเบิกบาน มักมีเรื่องขบขันมากมายมาเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง
ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่อายุสี่ห้าสิบ คนหนุ่มสาวที่ฮ่องเต้มีพบปะพูดคุยด้วยจึงน้อยยิ่งนัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ชอบสตรีที่เรียบร้อยพูดน้อย เอาแต่เงียบงัน ฮ่องเต้ฟังสภาขุนนางสั่งสอนยังไม่พออีกหรือ ด้วยเหตุนี้เองนิสัยร่าเริงรู้กาลเทศะของเฉาตวนเฟยจึงเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้อย่างมาก พระองค์ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิด แค่รับฟังอย่างผ่อนคลายก็พอแล้ว
อยู่กันตามลำพังกลางดึก ฮ่องเต้บังเกิดอารมณ์อย่างรวดเร็ว ถอดสายคาดเปลื้องอาภรณ์ร่วมคืนกับเฉาตวนเฟย หลังพิรุณพร่างพรมฮ่องเต้บรรทมอย่างอิ่มเอม เฉาตวนเฟยรอจนฮ่องเต้หลับสนิทแล้วจึงย่องลงจากเตียงไปตำหนักข้างอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
นางกำนัลขันทีตามไปปรนนิบัติเฉาตวนเฟยชำระกาย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางกำนัลสิบกว่าคนเดินเข้ามาในตำหนักบรรทม ต่อให้มีคนเห็นก็ไม่มีใครสนใจ นางกำนัลจะเข้าไปในตำหนักบรรทมปรนนิบัติเจ้านายก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากปีนเตียงแล้วพวกนางยังจะก่อเรื่องอะไรได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากเข้าใกล้เตียงในตำหนักบรรทมแล้ว นางกำนัลคนหนึ่งล้วงหยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาทันใด นางกำนัลคนอื่นๆ หวาดกลัวอยู่บ้าง กระตุกแขนเสื้อคนข้างหน้าอย่างเงียบๆ “พี่หยาง นี่คือฝ่าบาทเชียวนะ พวกเราจะทำอย่างนี้จริงๆ หรือ”
“แน่นอน ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินใจกันแล้ว” สตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้ามีคิ้วเข้มตาโต ใบหน้ารูปเหลี่ยม โหนกแก้มสูง นางถือเชือกไว้ในมือ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราต้องเก็บน้ำค้างตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนตลอดทั้งวันยังต้องถูกนักพรตพวกนั้นเห็นเป็นของเล่น ป้อนยาลูกกลอนบ้านั่นให้กิน พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพี่ซิ่วเหมียวตายอย่างไร หากพวกเรายังไม่ลงมือ ช้าเร็วก็ต้องตายด้วยน้ำมือของเขา”
ฮ่องเต้นับถือศาสนาเต๋า เชื่อคำสอนของศาสนาเต๋าว่าต้องรับลมดื่มน้ำค้าง ต้องเก็บหยาดน้ำค้างก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมาทำเครื่องดื่ม ทั้งยังมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้เถาจ้งเหวิน สั่งให้นักพรตปรุงโอสถทิพย์ให้พระองค์
ตำรับยาของเถาจ้งเหวินจำเป็นต้องใช้เลือดระดูของสตรีพรหมจรรย์ หาหญิงชาวบ้านมาก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นภารกิจอันทรงเกียรตินี้จึงตกอยู่กับเหล่านางกำนัลในวังหลวง นางกำนัลเหล่านี้ต้องฝ่าอากาศหนาวเย็นออกไปหาน้ำค้าง ทั้งยังต้องให้นักพรตเก็บเลือดระดูของตน ทว่าระดูของสตรีล้วนมีช่วงเวลาแตกต่างกัน เพื่อความสะดวกนักพรตจึงใช้ยาลูกกลอนปรับระดูของเหล่านางกำนัลทำให้พวกนางมีระดูพร้อมกันในช่วงเวลาที่กำหนด
ทางนักพรตนั้นสะดวกขึ้นมาก แต่นางกำนัลหลายคนกลับมีระดูไม่สม่ำเสมอ ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงานเก็บน้ำค้าง ส่วนเถาจ้งเหวินเพื่อให้ร่างกายของหญิงสาวเหล่านี้สะอาดบริสุทธิ์จึงไม่อนุญาตให้พวกนางกินเนื้อและธัญพืชอื่นๆ ในแต่ละวันอนุญาตให้พวกนางกินเพียงผักเล็กน้อยเท่านั้น
นางกำนัลหลายคนถูกทรมานจนตาย หยางจินอิงและคนอื่นๆ เห็นนางกำนัลก่อนหน้านี้ถูกหามออกไปทีละคนก็รู้สึกหวาดหวั่นกังวล รู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปช้าเร็วพวกนางต้องตายแน่จึงเลือกหนทางอันตราย หมายจะปลงพระชนม์ชีพฮ่องเต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีใครบังคับให้พวกนางเก็บน้ำค้างและปรุงโอสถทิพย์อีก
ภายใต้การปลุกเร้าของหยางจินอิง นางกำนัลที่เหลือสิบห้าคนต่างรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาฮ่องเต้หลังม่านเตียง พวกนางปีนขึ้นเตียง บ้างกดมือของฮ่องเต้ บ้างกดไหล่ของฮ่องเต้ไว้ หยางจินอิงมัดปมเชือกและคล้องเข้ากับพระศอของฮ่องเต้ หยางจินอิงบอกว่าไม่กลัว แต่ตอนลงมือร่างกายยังคงสั่นเทา พอนางคล้องเชือกแล้ว นางกำนัลบนพื้นสองคนไม่กล้ามองให้ละเอียดก็จับเชือกและออกแรงดึงทันที
นางกำนัลเหล่านี้ลงมือด้วยความวู่วามชั่วขณะ ทั้งมิได้วางแผนและขาดประสบการณ์ นางกำนัลที่ดึงเชือกไม่ได้ออกแรงไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนหยางจินอิงเมื่อครู่เพราะความประหม่าทำให้ผูกเชือกเป็นเงื่อนตาย ฮ่องเต้ไม่ได้ถูกรัดพระศอจนตาย แต่กลับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เหล่านางกำนัลหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม เวลานี้เองเชือกติดชะงักตรงเงื่อนตาย ทำอย่างไรก็ไม่อาจดึงให้แน่นขึ้นได้ เหล่านางกำนัลตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ดึงปิ่นประดับกับปิ่นยึดมวยผมบนศีรษะออกมา แทงไปบนพระวรกายของฮ่องเต้เปะปะโดยไม่กล้ามอง
ทว่าการโจมตีของพวกนางไม่มีแบบแผน ไม่มีครั้งใดที่จู่โจมถูกจุดสำคัญ นางกำนัลจางจินเหลียนเห็นว่าฮ่องเต้ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ใจคิดว่าหรือนี่ก็คือมังกรแท้ที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง นางลนลานขาดสติ ไม่กล้าจ้องใบหน้าฮ่องเต้อีก ล้มลุกคลุกคลานลงจากเตียง และวิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอก
หยางจินอิงร้องเรียกจางจินเหลียนอยู่ข้างหลังหลายครั้ง จางจินเหลียนล้วนไม่หันกลับมา วิ่งหนีไปอย่างคลุ้มคลั่ง นางกำนัลมากันทั้งหมดสิบหกคน ต่อให้หายไปหนึ่งคน ในด้านกำลังก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบโดยสิ้นเชิง ทว่าการจากไปของจางจินเหลียนกลับเหมือนค้อนที่ทุบลงมาอย่างแรง การร่วมมือของเหล่านางกำนัลที่เดิมทีก็ไม่เหนียวแน่นอยู่แล้วพังทลายลงทันที นางกำนัลสองคนที่ดึงเชือกตัวสั่นไม่หยุด จู่ๆ ก็แข้งขาอ่อนล้มทรุดลงบนพื้น บ่วงเชือกคลายออกทันใด
หยางจินอิงตวาดสั่งให้พวกนางออกแรงต่อไป ทว่าครั้งนี้ไม่ว่าหยางจินอิงจะด่าว่าอย่างไร เหล่านางกำนัลก็ยืนไม่ขึ้นแล้ว หยางจินอิงรับเชือกมาพยายามจะสังหารฮ่องเต้ต่อ แต่มือของนางก็สั่นไม่หยุดเช่นเดียวกัน ออกแรงไม่ได้แม้แต่น้อย
เวลานี้เองเสียงตะโกนอย่างลนลานของผู้ดูแลลอยมาจากข้างนอก ระหว่างนั้นยังมีเสียงตะโกนว่า “ช่วยเหลือฝ่าบาท!” กับเสียงเรียก “ฮองเฮา” ปะปนมาด้วย ร่างกายของหยางจินอิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทรุดนั่งลงกับพื้น เชือกในมือห้อยตกลงตรงขอบเตียงอย่างช่วยไม่ได้
ความคิดแรกในใจของหยางจินอิงคือจบกัน นางไม่รอดแล้ว