ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 105
ฮ่องเต้โชคดีไม่ถูกรัดคอจนตาย แต่ก็หมดสติไปนานมาก ลำคอของฮ่องเต้เจ็บปวดเหมือนถูกเพลิงแผดเผา ร่างกายระบมไปทุกจุด ถึงขั้นฝันว่ามีคนกำลังจะฆ่าพระองค์ ฮ่องเต้สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายด้วยความหวาดผวา หอบหายใจอย่างรุนแรง แยกความฝันกับความจริงไม่ออก เวลานี้เองเสียงฝีเท้ามั่นคงทรงพลังดังขึ้นข้างกาย มีคนคุกเข่าข้างหนึ่งที่หน้าเตียง น้ำเสียงสุขุมหนักแน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมมาคุ้มกันล่าช้า โจรร้ายถูกประหารแล้ว วังอี้คุนวางกำลังขององครักษ์เสื้อแพรไว้ทั้งในและนอก ฝ่าบาทวางพระทัยได้ กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยคนใดเข้ามาใกล้พระองค์โดยเด็ดขาด”
ฮ่องเต้จำได้ว่านี่เป็นเสียงของลู่เหิง เหมือนเช่นในทะเลเพลิงครั้งก่อน เขาจะปรากฏตัวข้างกายฮ่องเต้ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเสมอ เป็นคนที่แข็งแกร่งและพึ่งพาได้ จิตใจของฮ่องเต้ค่อยๆ สงบลง ภาพเบื้องหน้าฉายชัดอีกครั้ง มองเห็นนอกม่านมีองครักษ์เสื้อแพรยืนอยู่มากมาย แขนเสื้อของนางข้าหลวงและขันทีถูกผูกขึ้นมาเผยให้เห็นแขนทั้งท่อน นางข้าหลวงยกน้ำสะอาดเข้ามา หลังจากทดสอบพิษต่อหน้าทุกคนแล้วจึงได้รับอนุญาตให้ยกเข้ามาให้ฮ่องเต้
ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอบประโลมใจที่ได้รับความตระหนกของฮ่องเต้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้มองเห็นสีแดงสดในตำหนัก เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้หงอู่จึงให้องครักษ์เสื้อแพรจับคู่กับเสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาดถึงเพียงนี้
ดังเช่นตอนนี้มองปราดเดียวก็สามารถแยกพวกเขาที่สวมชุดเฟยอวี๋อันหรูหราออกจากกลุ่มคนได้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สูงใหญ่องอาจและผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีเหล่านี้เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ คอยลาดตระเวนและตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว
นี่คือองครักษ์ของฮ่องเต้ แค่เห็นก็ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะเงาร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้สายนั้น สูงโปร่งโดดเด่น แข็งแกร่งไม่มีสิ่งใดโค่นล้มได้ เฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างกายฮ่องเต้ประหนึ่งไคหมิงโซ่ว* ราวกับสามารถตระหนักถึงภยันตรายทั้งหมดในใต้หล้าได้ล่วงหน้า ทั้งวรยุทธ์และไหวพริบปฏิภาณล้วนเป็นเลิศ
ฮ่องเต้เพิ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารในบ้านของตนเอง จนกระทั่งได้เห็นลู่เหิง ในที่สุดจึงมั่นใจว่าตนปลอดภัยแล้ว
ฮ่องเต้ดื่มน้ำและโอสถแล้ว สติก็ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย ขันทีรายงานว่าใต้เท้าทั้งหลายในสภาขุนนางเฝ้ารออยู่ในวังเฉียนชิงมาโดยตลอด ฮ่องเต้ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าและเรียกตัวซย่าเหวินจิ่นเข้าเฝ้า
ด้วยอาการของฮ่องเต้ในตอนนี้ย่อมไม่อาจสั่งงานได้อยู่แล้ว ที่ตามซย่าเหวินจิ่นมาพบมิพ้นต้องการแสดงให้เห็นว่าตนไม่เป็นอะไร เป็นการปลอบประโลมเหล่าขุนนางข้างนอกที่กำลังกระวนกระวาย
ฮ่องเต้พบซย่าเหวินจิ่นเสร็จแล้วก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างรวดเร็ว ทว่าแม้จะถูกความเหนื่อยล้าเคี่ยวกรำ แต่กลับนอนไม่หลับ ฟานอ๋องจะฆ่าพระองค์ ลัทธิบัวขาวจะฆ่าพระองค์ พวกนั้นฮ่องเต้ล้วนรับได้ แต่เมื่อนางกำนัลจะฆ่าพระองค์ พระองค์จะป้องกันอย่างไร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจแด่ฮ่องเต้ยิ่งกว่าการถูกคนที่ใกล้ชิดที่สุดทรยศเสียด้วยซ้ำ บัดนี้แม้แต่นางกำนัลที่ต่ำต้อยที่สุดยังคิดจะรัดคอฆ่าฮ่องเต้ให้ตาย เช่นนั้นพระองค์ยังจะเชื่อใจใครได้อีก ฮ่องเต้ทั้งตระหนกและหวาดหวั่นสลับกันไปมา เบิกตาคาดเดาไปต่างๆ นานา ทั้งทรมานผู้อื่นและทรมานตนเอง จนกระทั่งฟ้ามืด ในที่สุดฮ่องเต้จึงทนความเหนื่อยล้าไม่ไหวผล็อยหลับไปทั้งที่ร่างกายยังเกร็งเครียด
ลู่เหิงเฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอดเวลา รอจนฮ่องเต้หลับสนิทเขาจึงถอยออกไปเงียบๆ ชายหนุ่มเดินออกจากตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเย็นชาหนักอึ้ง
ลู่เหิงดูออกว่าฮ่องเต้มีปมในใจ อีกฝ่ายหาได้สงสัยลู่เหิงไม่ แต่ความรู้สึกปลอดภัยที่ฮ่องเต้มีต่อโลกภายนอกพังทลายลงโดยสิ้นเชิง หากขุนนางหมายจะลอบปลงพระชนม์ ประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรหรือแม้แต่สิบชั่วโคตรก็ยังได้ ทว่าวังหลวงนั้นขาดนางกำนัลขันทีมิได้ หากนางกำนัลมีใจลอบปลงพระชนม์ ฮ่องเต้จะป้องกันได้อย่างไร
ถอยไปอีกก้าวหนึ่ง แม้แต่นางกำนัลซึ่งเป็นชนชั้นระดับล่างในวังยังฆ่าฮ่องเต้ได้ เช่นนั้นนางข้าหลวง ขันที สนมชายา ฮ่องเต้ยังจะไว้ใจใครได้อีกเล่า
ลู่เหิงถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง การช่วยเหลือฮ่องเต้จากอันตรายเป็นเรื่องง่าย เรื่องราวต่อจากนี้ต่างหากที่ยากลำบาก สถานการณ์ของฮ่องเต้ตอนนี้คือร่างกายรักษาง่าย จิตใจเยียวยายาก หากฮ่องเต้ไม่อาจก้าวออกจากเงามืดนี้ได้ ต่อไปยังจะปกครองแผ่นดินได้อย่างไร
ฮ่องเต้เพิ่งจะบรรทมไป คนทั้งในนอกต่างไม่กล้าคุยกันเสียงดัง กัวเทาเดินตามหลังลู่เหิง พูดเสียงค่อย “ใต้เท้า ฮองเฮาทรงพาตัวเฉาตวนเฟยกับองค์หญิงใหญ่ไปแล้วขอรับ”
หลังจากฮ่องเต้ถูกทำร้าย องครักษ์เสื้อแพรเข้าควบคุมวังอี้คุนอย่างฉับไว แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือฮองเฮา ทั้งยังเป็นผู้มีความดีความชอบรุดมาช่วยเหลือฮ่องเต้เป็นคนแรก ฟางฮองเฮาพาตัวเฉาตวนเฟยไปโดยอ้างว่าจะ ‘สอบสวน’ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่อาจขวางได้
ลู่เหิงได้ยินคำพูดของกัวเทาแล้วลอบย่นคิ้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ฟางฮองเฮาประหารชีวิตพวกหยางจินอิงเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว นางกำนัลทั้งสิบหกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงจางจินเหลียนที่ไปแจ้งข่าวไม่มีใครรอดชีวิต ถูกปิดปากตั้งแต่ก่อนที่องครักษ์เสื้อแพรจะมาถึง ตอนนี้ฟางฮองเฮายังพาตัวเฉาตวนเฟยไปอีก
ลู่เหิงเป็นขุนนางนอก วันนี้ความคิดจิตใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่ฮ่องเต้จึงไม่ทันใส่ใจเจ้านายตัวจริงของวังอี้คุน…เฉาตวนเฟย ลู่เหิงยังมิได้ซักถาม แต่จากประสบการณ์ในการทำคดีของเขา บุคคลที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดที่จะเป็นผู้บงการเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือเฉาตวนเฟย
เฉาตวนเฟยทั้งอ่อนเยาว์และเป็นที่โปรดปราน มีพระธิดาองค์หนึ่ง บิดาเป็นเจ้าเมืองในมณฑลฝูเจี้ยน นางจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไปเพื่ออันใด อีกทั้งยังลงมือในวังของนางเอง ต่อให้โง่ก็ไม่มีใครโง่ถึงขั้นนี้
ฟางฮองเฮาทรงคิดจะทำสิ่งใด
ปมในใจของฮ่องเต้ยังไม่ทันคลี่คลาย ฝ่ายในก็ก่อเรื่องอีกแล้ว ลู่เหิงไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ยามนี้จุดไท่หยางรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ กัวเทาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้รับมือยากยิ่งนัก เอ่ยถามเบาๆ “ใต้เท้า รอฝ่าบาทตื่นบรรทมเมื่อใดจะต้องถามถึงต้นสายปลายเหตุของการกบฏครั้งนี้เป็นแน่ นางกำนัลที่เป็นผู้ก่อเหตุถูกประหารชีวิตแล้ว พวกเราจะสืบอย่างไรเล่าขอรับ”
ลู่เหิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะสืบอย่างไรดี ผู้อื่นสามารถคาดคั้นลงทัณฑ์ ข่มขู่หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ได้ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายคือฮองเฮา ลู่เหิงจะทำอย่างไรได้
ทุกคนเฝ้ารอให้ลู่เหิงตัดสินใจตาปริบๆ แม้สถานการณ์จะเข้าสู่ทางตันแล้ว แต่ใต้เท้าของพวกเขาจะต้องมีหนทางแน่นอน ลู่เหิงปวดหัวยิ่งกว่าเดิม ขณะกำลังจะเลือกใช้กลยุทธ์ถ่วงเวลา ดวงตาพลันสาดประกายวูบ นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้
ดูเหมือนเขาจะมีหนทางแล้ว
* แบ่งน้ำแกงข้นถ้วยหนึ่ง อุปมาถึงการแบ่งผลประโยชน์
* โจรร้องให้จับโจร หมายถึงผู้ที่เป็นโจร แต่กลับร้องให้คนอื่นช่วยจับโจร เปรียบเปรยถึงคนชั่วที่จงใจสร้างความสับสนวุ่นวายเพื่อหนีเอาตัวรอด
* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวน หมายถึงอาการเหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
* ไคหมิงโซ่ว เป็นสัตว์เทพชนิดหนึ่งในตำนานของจีน ลักษณะคล้ายพยัคฆ์แต่มีเก้าหัว ใบหน้าเหมือนมนุษย์ เป็นสัตว์เฝ้าประตูของแดนสวรรค์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.