ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 106 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 106

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 106

วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่ง มรสุมเรื่องคนร้ายชาวตงอิ๋งยังไม่หายไปเสียทีเดียว ในสายลมยังเจือกลิ่นอายอันตรายอย่างบอกไม่ถูก หวังเหยียนชิงจัดการบัญชีในอดีตเสร็จเรียบร้อย ตั้งใจว่ารอให้ประตูเมืองเปิดโดยสมบูรณ์ก็จะเดินทางออกจากนครหลวง ช่วงสองสามวันสุดท้ายนางไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวาย พอฟ้ามืดจึงสั่งให้คนปิดประตู เตรียมตัวเข้านอน

ทว่าวันนี้ประตูคฤหาสน์ปิดลงได้ไม่นานกลับมีคนมาเคาะประตูข้าง หวังเหยียนชิงกำลังคลายมวยผม สาวใช้ก็ซอยเท้าวิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรน “ฮูหยิน ใต้เท้าลู่มาเจ้าค่ะ”

มือของหวังเหยียนชิงที่กำลังดึงปิ่นมุกออกชะงัก มองไปนอกหน้าต่าง “เวลานี้น่ะหรือ”

“เจ้าค่ะ”

หวังเหยียนชิงรู้ดีว่าลู่เหิงมิใช่คนที่ทำอะไรอย่างไร้จุดหมาย ต่อให้เขาจะเล่นลูกไม้ก็ไม่เลือกโจมตีนางกะทันหันยามดึกเป็นแน่ นางรู้สึกได้ว่าบางทีอาจมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจึงสั่งให้สาวใช้ไปเปิดประตูทันที ขณะเดียวกันตนเองก็แต่งตัวใหม่

หวังเหยียนชิงยังเกล้าผมไม่เรียบร้อยดี ประตูห้องก็ถูกเคาะเสียแล้ว หญิงสาววางปิ่น เอ่ยถามเสียงขุ่นอยู่บ้าง “บอกแล้วมิใช่หรือว่าให้เขาไปรอที่ห้องโถงกลาง”

“ไม่ทันแล้ว” ลู่เหิงผลักประตูเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ หยุดอยู่หน้าประตู จ้องมองนางพลางพูด “ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”

หวังเหยียนชิงหันกลับไปมองเขา จากนั้นมองสาวใช้ สุดท้ายก็โบกมือเบาๆ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

เหล่าสาวใช้ถอยออกไปตามลำดับ เฝ่ยชุ่ยอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย รู้สึกลังเลอยู่บ้างที่ต้องปล่อยให้หวังเหยียนชิงอยู่ร่วมห้องกับลู่เหิงตามลำพัง ทว่าหลังจากมองดูหวังเหยียนชิงแล้ว สุดท้ายนางยังคงปิดประตูตามคำสั่งของอีกฝ่าย รอจนคนจากไปหมดแล้วหวังเหยียนชิงก็ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง ถามเขา “ใต้เท้าลู่มีอะไรจะพูดหรือ”

ลู่เหิงถอนหายใจหนึ่งที เดินผ่านฉากกั้นสูงจรดเพดานมาหยุดตรงหน้านาง “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ยินดีพบข้าแล้วเสียอีก”

“หากท่านยังจะเฉไฉไปเรื่องอื่น ข้าจะไล่ท่านออกไปจริงๆ แล้ว”

ลู่เหิงเดินไปข้างกายนาง โอบไหล่นางและกดให้นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งดังเดิม “สางผมต่อเถอะ ระหว่างรอข้าจะพูดไปด้วย”

ไม่พบกันนานมาถึงก็แตะเนื้อต้องตัวทันที เดิมทีหวังเหยียนชิงอยากจะผลักเขาออก แต่ไม่รู้เป็นเพราะเงาสะท้อนจากคันฉ่องหรือไม่ เขาในคันฉ่องจึงดูผ่ายผอมลงมาก หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าใต้ชุดคลุมกันลมของเขาเป็นชุดเฟยอวี๋ ถ่านไฟในห้องจุดไว้มากมายเพียงนี้ เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะถอดเสื้อคลุมหรือปลดดาบซิ่วชุนออกเลย สุดท้ายหญิงสาวจึงไม่สะดวกใจจะลงมือ เอ่ยถาม “ท่านเพิ่งออกมาจากวังหรือ”

ลู่เหิงถอนใจเบาๆ เผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาอย่างหาได้ยาก “ใช่”

หวังเหยียนชิงใช้ปิ่นยึดเส้นผมไว้ ชำเลืองมองเขาจากคันฉ่องนิ่งๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้าย เพิ่งจะช่วยเอาไว้ได้”

หวังเหยียนชิงมือสั่นอย่างรุนแรง เกือบทำปิ่นร่วงตกพื้น ลู่เหิงรับปิ่นอันนั้นไว้ ประคองมือนางแล้วเสียบปิ่นลงบนมวยผม “ไม่ต้องกังวล พระวรกายของฮ่องเต้ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เพียงแต่จิตใจนั้นสาหัสทีเดียว

หวังเหยียนชิงตกใจจนร่างกายเย็นเฉียบไปหมด มือก็เย็นเป็นน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว นางก็ว่าอยู่แล้วเชียว วันนี้ท้องถนนไม่ค่อยปกตินัก ที่แท้ในวังเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้

นางอกสั่นขวัญผวาจนไม่ทันสังเกตการกระทำของลู่เหิงในยามนี้ที่ใกล้ชิดกับนางจนเกินไป หญิงสาวตั้งสติพลางถาม “คนร้ายคือพวกวอโค่วหรือ”

“มิใช่” ชั่วขณะลู่เหิงเองก็รู้สึกยากจะอธิบายเรื่องเหลวไหลนี้ได้เช่นกัน “ไม่อาจเรียกว่าคนร้ายได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นนางกำนัลในวังของเฉาตวนเฟย”

หลายวันมานี้ลู่เหิงแก้แค้นพวกวอโค่วที่ทำลายงานแต่งงานของเขาอย่างบ้าคลั่ง แม้คนพวกนั้นจะนับว่าช่วยเขาครั้งใหญ่โดยบังเอิญ แต่ลู่เหิงไม่สน ในใจเขามีโทสะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีที่ระบาย พวกวอโค่วส่วนใหญ่ล้วนไปซุ่มโจมตีในงานแต่งงาน พรรคพวกที่เหลือในเมืองเดิมทีก็มีไม่มาก หลายวันนี้ภายใต้การล้อมสกัดขององครักษ์เสื้อแพรจึงกวาดล้างไปหมดสิ้นแล้ว

กระนั้นคิดไม่ถึงว่าวิกฤตจะมิได้มาจากแคว้นศัตรู แต่มาจากคนภายในของตนเอง เรื่องที่นักรบเดนตายวอโค่วที่โหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์อุตส่าห์เตรียมการมาหลายปียังทำไม่สำเร็จกลับเกือบจะสำเร็จลุล่วงเพราะนางกำนัลแค่ไม่กี่คน

หวังเหยียนชิงได้ยินคำพูดนี้แล้วสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเดิม นางยังสงสัยว่าตนเองฟังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ “นางกำนัล?”

“ใช่” ลู่เหิงพยักหน้า ยืนยันว่านางไม่ได้ฟังผิด “เป็นนางกำนัล มีทั้งหมดสิบหกคน ผู้นำชื่อว่าหยางจินอิง เมื่อตอนกลางวันข้าดูบันทึกการเข้าวังของพวกนางแล้วยังไม่พบความเป็นไปได้ในการสมคบกับข้าศึกชั่วคราว”

หวังเหยียนชิงฟังจบด้วยความตกตะลึง นางโตมาจนป่านนี้หนังสือประวัติศาสตร์อ่านมาไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องที่เหลวไหลถึงเพียงนี้ นางคิดมาโดยตลอดว่าการก่อกบฏลอบปลงพระชนม์น่าจะเป็นเรื่องที่ลึกล้ำและยากลำบากมากเรื่องหนึ่ง

ขบคิดถึงตรงนี้นางพลันตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล “ท่านมาบอกเรื่องพวกนี้กับข้าด้วยเหตุใด”

ไม่ว่าราชวงศ์ใดหรือยุคสมัยใด เรื่องที่ฮ่องเต้เกือบถูกลอบปลงพระชนม์นี้น่าจะเป็นความลับกระมัง ลู่เหิงคิดในใจ ชิงชิงช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นโดยแท้ เขาเพิ่งจะเอ่ยปากนางก็เดาได้แล้ว

ลู่เหิงกุมไหล่หวังเหยียนชิงเบาๆ พลางพูด “นางกำนัลปองร้ายองค์เหนือหัวเดิมทีก็เป็นเรื่องน่าตกใจอยู่แล้ว แต่สิบหกคนนั้นหลังจากเกิดเรื่องก็ถูกฟางฮองเฮาประหารชีวิต ซึ่งรวมถึงจางจินเหลียนที่มาแจ้งข่าวด้วย นั่นเป็นถึงฮองเฮาของแผ่นดิน ข้าไม่อาจสงสัยหรือสอบปากคำพระนาง จึงได้แต่คิดหาวิธีสืบหาความจริงทางอ้อม”

หวังเหยียนชิงเข้าใจแล้วว่าลู่เหิงคิดจะทำอะไร นางมองเงาสะท้อนในคันฉ่อง มิได้หลงเชื่อง่ายๆ “ต่อให้ไม่อาจสืบตรงๆ ลับหลังก็มีวิธีสืบเรื่องนี้อีกไม่น้อย ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวังหลวงเลย ทั้งยังเป็นคนนอก คดีลับคดีนี้ต้องการข้าจริงๆ หรือ”

ลู่เหิงถอนหายใจ เป็นไปตามคาดหลังจากฟื้นฟูความทรงจำแล้วนางเฉลียวฉลาดและเฉียบขาดขึ้นมาก ความคิดของตนเองก็มีมากขึ้น นี่ล่ะคือความระแวดระวังที่บุตรีครอบครัวทหารที่เคยบ้านแตกสาแหรกขาดต้องใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่ต่างถิ่นพึงมี ชายหนุ่มประสานสายตากับนางผ่านทางคันฉ่อง เอ่ยเสียงเนิบ “ใช้วิธีอื่นใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ย่อมต้องเสียเวลาแน่นอน ตอนนี้ฟางฮองเฮาคุมตัวเฉาตวนเฟยไว้แล้ว ก่อนออกจากวังข้าได้ยินว่านางไปตรวจสอบหวังหนิงผิน ข้าเป็นบุรุษที่อยู่นอกวัง ไม่อาจพูดแทนสนมชายาในวัง หากไม่ควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว ในวังยังไม่รู้ต้องมีคนตายอีกมากน้อยเพียงใด”

หวังเหยียนชิงรู้จักเฉาตวนเฟย นั่นเป็นสตรีที่งดงามและช่างยิ้มคนหนึ่ง เป็นที่รักใคร่ชื่นชอบทีเดียว หวังเหยียนชิงเคยพบหน้าเฉาตวนเฟยหลายหน ชีวิตที่ยังอ่อนเยาว์และเต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้ หวังเหยียนชิงไม่อาจเฝ้าดูอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าได้จริงๆ หญิงสาวถอนหายใจ ต่อให้นางรู้ดีว่านี่เป็นหลุมพรางของลู่เหิงก็จำต้องก้าวเข้าไป “แม้แต่ท่านยังขัดขวางฟางฮองเฮาไม่ได้ แล้วข้าเป็นใครกัน ไหนเลยจะโน้มน้าวฮองเฮาได้”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวพระนาง” ลู่เหิงว่า “อำนาจทั้งหมดในใต้หล้านี้ล้วนมาจากคนคนเดียว ฝ่าบาทต่างหากที่ทรงเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด”

หวังเหยียนชิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง อดชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่างมิได้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนแล้วจึงกัดฟันเอ่ยเสียงค่อย “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”

“ข้าเพียงแต่ช่วยแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทเท่านั้น” ลู่เหิงไม่รู้สึกโดยสิ้นเชิงว่าเขากำลังเอ่ยวาจาสามหาวอะไร เขาจ้องตานางพลางพูด “ตอนนี้พระอาการของฝ่าบาทไม่ดีเอามากๆ พระองค์ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ไม่กล้าวางพระทัยคนข้างกายอีก ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปมิเพียงฝ่ายในและสนมชายาเท่านั้น แม้แต่ราชสำนักฝ่ายหน้าเองก็ต้องปั่นป่วน ราชสำนักกำลังจะยกทัพไปกวาดล้างวอโค่ว ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จะเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เจ้าสามารถแยกแยะคำโกหกของทุกคนได้ เจ้าไปอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท บอกพระองค์ว่าใครโกหก ใครพูดความจริง เช่นนี้ฝ่าบาทจึงจะทรงสามารถตัดสินพระทัยในขั้นตอนต่อไปได้”

หวังเหยียนชิงตกตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว ความคิดเช่นนี้คงมีแต่ลู่เหิงเท่านั้นที่กล้าคิด เขาไม่กลัวถูกกล่าวหาว่ากุเรื่องมอมเมาผู้คน หลอกลวงเบื้องสูงหรือไรกัน

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com