ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 107
หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ในตำหนักข้าง ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว หากเป็นยามปกติเวลานี้นางเข้านอนนานแล้ว หญิงสาวหยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง อาศัยการดื่มน้ำทำให้ตนเองกระปรี้กระเปร่า นางจิบไปได้ไม่กี่อึก ประตูตำหนักก็ถูกเคาะ มีคนพูดขึ้นข้างนอก “ฮูหยิน ใต้เท้าลู่เชิญขอรับ”
ในที่สุดก็มาจนได้ หวังเหยียนชิงวางถ้วยชา ลอบตรวจดูเสื้อผ้า ใบหน้า กับผมของตนเองก่อนจะเดินออกจากตำหนัก จากตำหนักข้างไปยังตำหนักกลางระหว่างทางเต็มไปด้วยองครักษ์เสื้อแพร ผู้มาแจ้งข่าวส่งนางถึงหน้าประตู หยุดอยู่นอกธรณีประตูพลางพูด “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา ลู่ฮูหยินมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครู่หนึ่งผ่านไปม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น ลู่เหิงออกมาด้วยตนเองและพาหวังเหยียนชิงเข้าไปในตำหนัก สองคนนอกจากสบตากันตอนเลิกม่านประตูแวบหนึ่งแล้ว เวลาที่เหลือล้วนไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันอีก หวังเหยียนชิงหลุบตาเดินตามหลังชายหนุ่ม พอเขาหยุด นางก็ยอบกายคารวะตาม “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
ฮ่องเต้เจ็บคอจึงนั่งเอนกายอยู่บนเตียงไม่เอ่ยอะไร ขันทีข้างกายเป็นผู้พูดแทน “ลุกขึ้นได้”
หวังเหยียนชิงยืดตัวขึ้น หางตาเหลือบมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้ามีผ้าม่านสีเหลืองทิ้งตัวลงมาจรดพื้น หน้าเตียงมีขันทีล้อมอยู่จำนวนมาก ฟางฮองเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักโค้งข้างเตียง สองมือประสานกันวางบนตัก ปลอกเล็บยาวทับซ้อนกันอยู่ดูสง่าผ่าเผย
เบื้องล่างของฟางฮองเฮามีนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ นางก้มศีรษะ สองมือวางบนพื้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
ระหว่างทางองครักษ์เสื้อแพรเล่าให้หวังเหยียนชิงฟังคร่าวๆ ว่านางกำนัลผู้หนึ่งสารภาพว่าเคยได้ยินหยางจินอิงวางแผนการลับ ฟางฮองเฮาจึงประหารชีวิตเฉาตวนเฟยและหวังหนิงผินตามการชี้ตัวของนางกำนัล ดังนั้นตอนนี้พวกหยางจินอิงที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงเฉาตวนเฟยและหวังหนิงผินทั้งคู่ล้วนตายหมดแล้ว ลู่เหิงคิดว่านางกำนัลผู้นี้อาจจะโกหก ดังนั้นจึงตัดสินใจสืบคดีนี้ใหม่
ฮ่องเต้เห็นด้วย ทุกคนจึงถูกพาตัวมายังเบื้องพระพักตร์กลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่หวังเหยียนชิงเห็นอยู่ตอนนี้
หวังเหยียนชิงถอนสายตากลับมา จ้องมองพื้นเงียบๆ ฟางฮองเฮาเห็นหวังเหยียนชิงแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ พลางถาม “ใต้เท้าลู่ ตอนนี้วังหลวงเพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ ท่านกลับพาคนนอกเข้ามาในวัง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ภรรยาของกระหม่อมสามารถแยกแยะคำโกหกได้ เพื่อป้องกันมิให้นางกำนัลผู้นี้เล่นลูกไม้ กระหม่อมจึงบังอาจพาภรรยาเข้าวังและสอบสวนนางกำนัลผู้นี้อย่างเปิดเผย กระหม่อมตัดสินใจโดยพลการ ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้าเป็นการบอกให้ลู่เหิงจัดการต่อไป หากเป็นเมื่อก่อนฮ่องเต้ไหนเลยจะมีความอดทนฟังการสอบสวน ที่ผ่านมาฮ่องเต้ล้วนดูแต่ผลลัพธ์ แต่วันนี้เรื่องราวเกี่ยวพันกับชีวิตของตนเอง ฮ่องเต้จึงอยากจะสืบให้กระจ่างแจ้ง
ตอนนี้เรื่องสำคัญอย่างแท้จริงคือการสืบหาความจริงให้แน่ชัด มิใช่เรื่องที่ลู่เหิงพาคนเข้ามาในวังโดยพลการ ลู่เหิงช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ถึงสองหน หากเขาคิดปองร้ายฮ่องเต้จริงคงลงมือไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงป่านนี้
ฟางฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะไว้ใจลู่เหิงถึงเพียงนี้ นางโมโหจนพูดไม่ออกชั่วขณะ ทั้งที่ฟางฮองเฮาต่างหากที่รุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นคนแรก แต่บัดนี้ดูแล้วเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้กับลู่เหิง
อย่างไรเสียตอนที่ฟางฮองเฮารุดมาถึง ฮ่องเต้ก็ถูกรัดคอจนสิ้นสติไปแล้ว มิได้เห็นฟางฮองเฮาแก้เชือกออกมา รอจนฮ่องเต้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็คือลู่เหิงเฝ้าอยู่หน้าเตียงมังกร การอารักขา ทดสอบพิษ และถ่ายทอดคำสั่งล้วนอยู่ในการดูแลขององครักษ์เสื้อแพร ผู้ใดมีความจริงใจมากกว่า เรื่องนี้เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องพูด
ฟางฮองเฮากัดฟันอย่างไม่ยินยอม ทว่าอีกฝ่ายเป็นรองผู้บัญชาการสูงสุดองครักษ์เสื้อแพร เป็นบุคคลที่ฮ่องเต้ไว้วางใจมากที่สุด ต่อให้เป็นฮองเฮาก็ไม่กล้าชนกับลู่เหิงตรงๆ ฟางฮองเฮาจึงได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ ปล่อยให้สตรีประหลาดพิลึกผู้นี้ทำการสอบสวน
หวังเหยียนชิงลอบเลิกคิ้ว ตระหนักถึงอำนาจบารมีของลู่เหิงอย่างแจ่มแจ้ง ลู่เหิงร้ายกาจถึงขั้นที่แม้แต่ฟางฮองเฮาก็ยังไม่กล้าล่วงเกินเขา รอให้จัดการกบฏครั้งนี้เสร็จสิ้นเกรงว่าเขาคงได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว
ฮ่องเต้อนุญาตอย่างเงียบๆ ฟางฮองเฮาจึงต้องสงบปากสงบคำ ลู่เหิงบีบมือหวังเหยียนชิง ส่งสัญญาณให้นางเริ่มได้ หวังเหยียนชิงรวบรวมสมาธิ หลุบตายอบกายลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงโปรดอภัยด้วย ยามที่หม่อมฉันสอบถามจำเป็นต้องสังเกตสีหน้า หากมีสิ่งใดล่วงเกินไป ขอทั้งสองพระองค์โปรดเข้าพระทัยด้วยเพคะ”
พูดจบนางก็เดินไปด้านข้าง ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สามารถมองเห็นสีหน้าของนางกำนัล ฟางฮองเฮา และขันทีได้ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของฟางฮองเฮา จางจั่ว และขันทีคนอื่นๆ พลันแปลกไป หวังเหยียนชิงมิได้สนใจพวกเขา เพียงมองนางกำนัลบนพื้นแล้วถาม “เจ้าชื่ออะไร”
นางกำนัลเงยหน้าขึ้น ลอบมองแวบหนึ่ง คงจะคาดไม่ถึงว่าเหตุใดหวังเหยียนชิงจึงไม่สอบสวนตามขั้นตอนปกติ “สวีสี่เยวี่ย”
“ภูมิลำเนา”
“อำเภออันเหริน เมืองเหิงโจว”
“เดือนเกิดและปีเกิด”
ฟางฮองเฮาทนฟังต่อไปไม่ไหว มุ่นคิ้วเอ่ยแทรก “รีบถามเรื่องของเฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินเถอะ เจ้าจะถามเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใดกัน”
สวีสี่เยวี่ยหมอบอยู่กับพื้น แม้จะก้มศีรษะ มิได้เหลือบมองไปยังทิศทางของฟางฮองเฮาสักนิด แต่ตอนที่ฟางฮองเฮาเอ่ยปาก สวีสี่เยวี่ยกัดริมฝีปาก นิ้วมือก็เกร็งเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว หวังเหยียนชิงมองเห็นทุกอย่าง สวีสี่เยวี่ยกำลังประหม่า ยังมีความรู้สึกหวาดหวั่นเจือปนอยู่ด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าคำพูดของฟางฮองเฮาสร้างแรงกดดันให้นาง
หวังเหยียนชิงหาได้สนใจฟางฮองเฮาไม่ ยังคงมองสวีสี่เยวี่ยและพูดซ้ำคำเดิม “เดือนเกิดและปีเกิด”
ฟางฮองเฮามีสีหน้าบึ้งตึงเผยแววไม่พอใจเมื่อถูกคนล่วงเกินออกมา ลู่เหิงก้าวออกมาพูดอย่างถูกเวลา “ทูลฮองเฮา คำถามพวกนี้ดูเหมือนคำถามทั่วไปก็จริง แต่นี่คือการถามหาเบาะแสแล้ว ขอพระนางทรงโปรดอย่าขัดจังหวะพ่ะย่ะค่ะ”
ฟางฮองเฮานิ่งงันไปทันใด ใบหน้าฉายความตกใจระคนสงสัย สวีสี่เยวี่ยกลืนน้ำลายเงียบๆ นิ้วมือกำแน่นยิ่งขึ้น หวังเหยียนชิงไม่ถูกเรื่องรอบตัวรบกวนแม้แต่น้อย น้ำเสียงยังคงสงบราบเรียบดุจเดิม เอ่ยถามเป็นครั้งที่สาม “เดือนเกิดและปีเกิด”
สวีสี่เยวี่ยหลุบตาลง ดวงตาสั่นระริก ตอบอย่างระมัดระวัง “รัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สิบหก”
รัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สิบหก เช่นนั้นปีนี้นางก็อายุสิบห้าเท่านั้น หวังเหยียนชิงสอบถามต่อไปอย่างไม่มีอารมณ์ความรู้สึก “ชื่อของบิดา”
“สวีไท่”