บทที่ 109
เช้าวันถัดมา ลู่เหิงมารับหวังเหยียนชิงด้วยตนเอง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวังหลวง
ระหว่างทางลู่เหิงยังคงอ้างว่าบาดเจ็บจึงไม่ขี่ม้าและหันมานั่งรถม้าแทน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตอนจับกุมวอโค่วเขาเคลื่อนไหวอย่างไร รถม้าแล่นกึงกังไปข้างหน้า ลู่เหิงอาศัยช่วงเวลานี้บอกวิธีการสืบคดีในวันนี้กับหวังเหยียนชิง
“เริ่มจากหยางจินอิงก่อน สืบดูว่าช่วงเวลานี้นางไปมาหาสู่กับใครบ้าง ทางหนึ่งตรวจสอบคน ทางหนึ่งตรวจสอบสิ่งของ โดยเฉพาะข้าวของล้ำค่าในห้องนาง แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าเครื่องประดับ รวมถึงของกระจุกกระจิกที่มิใช่ของภายในวังล้วนต้องตรวจสอบทั้งหมด องครักษ์เสื้อแพรในวังไม่สะดวกที่จะค้นและไม่สะดวกที่จะถาม จึงได้แต่พึ่งพาเจ้าแล้ว ข้าขอกำลังคนมาจากสำนักบูรพาและสำนักประจิม ส่วนการซักถามเจ้าจัดการเอง แต่งานที่ใช้แรงอย่างการรื้อค้นข้าวของ ให้พวกเขาคอยช่วยเจ้า”
หวังเหยียนชิงแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ลู่เหิงสามารถกระทำได้ “ท่านยังเชิญคนของสำนักบูรพาและสำนักประจิมมาด้วยหรือ”
ฮ่องเต้มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการตรวจสอบวังหลวงให้ลู่เหิง แม้องครักษ์เสื้อแพรจะไม่สะดวกตรวจสอบสตรีในวัง แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว กระนั้นลู่เหิงกลับแบ่งงานนี้ให้สำนักบูรพาและสำนักประจิม มีคุณงามความชอบทุกคนแบ่งปันกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเบิกบานกันถ้วนหน้า เหล่าขันทีเองก็รับน้ำใจจากลู่เหิง
อย่างไรเสียขันทีก็เป็นคนที่ใกล้ชิดฮ่องเต้มากที่สุด การผูกมิตรกับคนกลุ่มนี้ไว้มีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอนนี้ลู่เหิงเป็นฝ่ายหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ วันหน้าพวกขันทีย่อมพูดจาเข้าข้างลู่เหิงมากหน่อย พบเจอเรื่องราวยังเป็นฝ่ายกระซิบบอกเขา ประโยชน์ที่ลู่เหิงจะได้รับย่อมมิอาจประมาณได้
ลู่เหิงเชี่ยวชาญการเดินหมาก นักเดินหมากที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง สิ่งที่ใส่ใจมิใช่ผลแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว แต่เป็นการวางแผนระยะยาว
หวังเหยียนชิงชื่นชมในใจว่าลู่เหิงช่างรู้จักวางตัวอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงยืนอยู่ในแวดวงขุนนางได้อย่างมั่นคงไม่ล้มลง สภาขุนนางเปลี่ยนราชเลขาธิการมาสี่คนแล้ว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรกลับยังคงเป็นเขามาโดยตลอด หวังเหยียนชิงถูกเขาวางกับดัก ยอมรับปากเงื่อนไขของเขาอย่างเลอะเลือนก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้า “พวกเขายังคงคุ้นเคยกับตำหนักในมากกว่า ทุกคนเงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ต้องพบกัน ไม่มีความจำเป็นต้องแย่งชิงอาณาเขตกับผู้อื่น ตำหนักในให้พวกเขาเป็นคนตรวจสอบ ส่วนข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องครอบครัวและพื้นเพของพวกหยางจินอิงทั้งสิบหกคน ข้าจะส่งองครักษ์เสื้อแพรจำนวนหนึ่งคอยติดตามเจ้าตลอดเวลา สำนักบูรพาและสำนักประจิมก็จะส่งคนมาด้วยเช่นกัน เจ้าใช้สอยพวกเขาอย่างวางใจได้ ไม่ต้องระแวง วันนี้ทั้งวันข้าจะอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ มีเรื่องอะไรเจ้าให้คนมาแจ้งข่าวที่วังอี้คุน ไว้ตอนกลางคืนข้าจะส่งเจ้าออกจากวัง”
การสืบข่าวต่างหากคืองานหลักขององครักษ์เสื้อแพร พวกเขาถนัดการสืบหาข่าวนอกวังมากกว่า หวังเหยียนชิงผงกศีรษะรับ มีลู่เหิงอยู่ นางไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองแม้แต่น้อย หากแม้แต่คนที่ฉลาดอย่างลู่เหิงยังป้องกันไม่ได้ เช่นนั้นหวังเหยียนชิงระวังตัวไปก็ไร้ประโยชน์
หวังเหยียนชิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักในสืบคดีลอบปลงพระชนม์ที่รับมือยากที่สุดด้วยจิตใจที่คิดว่าเป็นตายแล้วแต่ชะตา ลาภยศสรรเสริญแล้วแต่ฟ้ากำหนด รถม้าหยุดหน้าประตูวัง หน้าประตูมีขันทีจำนวนมากมารออยู่แล้ว ผู้เป็นหัวหน้าเห็นลู่เหิงก็รีบก้าวเข้ามาทักทาย “คารวะใต้เท้าลู่”
ลู่เหิงยิ้มพลางพยักหน้า “คารวะจ้าวกงกง กงกง นี่คือภรรยาของข้า วันหน้ารบกวนกงกงช่วยดูแลนางมากๆ ด้วย”
จ้าวกงกงย่อมรับคำอยู่แล้ว เรื่องของหน้าตานั้นต้องต่างฝ่ายต่างไว้หน้าจึงจะยิ่งให้ยิ่งได้รับมาก ลู่เหิงให้เหตุผลว่า ‘ไม่คุ้นเคยกับตำหนักใน’ จึงขอให้สำนักบูรพาและสำนักประจิมช่วยเหลือ องครักษ์เสื้อแพรเป็นฝ่ายให้เกียรติขันที จ้าวกงกงย่อมต้องรับไมตรีจากลู่เหิง
สำนักบูรพาส่งขันทีรับใช้มาหลายคน โดยให้จ้าวกงกงจากสำนักประจิมเป็นหัวหน้า จ้าวกงกงทักทายปราศรัยกับลู่เหิงอีกสองสามคำ ก่อนที่สองคนจะอำลากันด้วยความปรองดอง ลู่เหิงไปวังอี้คุนเฝ้าฮ่องเต้ ส่วนจ้าวกงกงยิ้มประสานมือให้หวังเหยียนชิง “คารวะลู่ฮูหยิน ฟังว่าลู่ฮูหยินมีเนตรไฟตาทอง* วินิจฉัยเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง ผู้น้อยต้องพึ่งพาลู่ฮูหยินแล้ว”
หวังเหยียนชิงไม่เหมือนลู่เหิงที่แค่อ้าปากก็พูดไปเรื่อยได้ ฟังแล้วเพียงยิ้มน้อยๆ ปฏิเสธ จ้าวกงกงจึงผายมือออกไป เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ “ลู่ฮูหยิน เชิญ”
เขตพระราชฐานชั้นในแม้จะกว้างใหญ่ แต่มิใช่นางกำนัลขันทีทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในนี้ เฉพาะนางกำนัลขันทีจำนวนน้อยที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดสนมชายาเท่านั้นจึงจะได้พักอยู่ในห้องด้านข้างกับเจ้านาย ส่วนคนอื่นๆ ล้วนพักอยู่ในเขตวังนอกพระราชฐานชั้นใน หกวังประจิมมีพื้นที่น้อย แค่สนมชายายังไม่พออยู่อาศัยจึงรองรับนางกำนัลได้ไม่มาก
พวกหยางจินอิงทั้งสิบหกคนล้วนอาศัยอยู่ด้านนอก พวกนางแบ่งเป็นสามผลัด แต่ละผลัดทำงานสี่ชั่วยาม ถึงเวลาก็ออกจากวัง คืนวันที่ยี่สิบเจ็ดเป็นเวรของหยางจินอิงและคนอื่นๆ เฝ้าวังอี้คุนยามค่ำคืน