ลู่เหิงกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะให้เจ้าพิงสักครู่”
“ไม่ต้อง”
“เช่นนั้นข้านวดจุดชีพจรให้เจ้าดีหรือไม่”
“มิกล้ารบกวนใต้เท้าลู่”
“แต่เมื่อวานพวกเราตกลงกันแล้วนี่ ภายในสามเดือนนี้ข้าจะทำอย่างไรก็ได้ เจ้าห้ามหลบเลี่ยง”
หวังเหยียนชิงเลิกคิ้ว มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “เมื่อวานพวกเราตกลงกันอย่างนี้หรือ”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าไม่ได้เสียหน่อย” ลู่เหิงทำสีหน้าจริงจัง “ข้ามีเวลาแค่สามเดือน ย่อมต้องพยายามแสดงข้อดีของตนเอง การนวดผ่อนคลายก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของข้าเหมือนกัน”
ลู่เหิงเห็นนางไม่คัดค้านจึงถือว่านางอนุญาตแล้ว เขาประคองไหล่หวังเหยียนชิงให้นางพิงซบตนเอง “ใต้หล้านี้ไม่มีกฎห้ามมิให้บุรุษนวดจุดชีพจรให้สตรีเวลาตามเกี้ยวพานอีกฝ่ายเสียหน่อย ปล่อยตัวตามสบายเถอะ ยังอีกสักพักเลยกว่าจะถึงบ้าน”
หวังเหยียนชิงยังไม่ทันคิดหาเหตุผลปฏิเสธก็ถูกเขากดให้เอนกายลงเสียแล้ว นิ้วมือเขากดลงบนจุดไท่หยางของนาง ออกแรงนวดคลึงคลายเส้นให้ หวังเหยียนชิงเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้จึงผ่อนคลายร่างกายอย่างไม่เต็มใจนัก ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ลู่เหิงทางหนึ่งสัมผัสกับความรู้สึกยามร่างอันหอมกรุ่นอยู่ในอ้อมกอดซึ่งไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ทางหนึ่งถามนาง “ทางด้านหยางจินอิงสืบพบเบาะแสใดหรือไม่”
หวังเหยียนชิงหลับตาลง ส่ายหน้านิดๆ ลู่เหิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ถอนหายใจเบาๆ “ครอบครัวนางก็ไม่พบความผิดปกติเช่นกัน ไม่ได้เดินทางไปต่างถิ่น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทางนครหลวง ดูแล้วเป็นครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือมีคนชิงลงมือก่อน ทำลายหลักฐานทั้งหมดจนเกลี้ยงและบงการนางกำนัลเหล่านี้ให้ลอบปลงพระชนม์ อย่างที่สองคือเรื่องนี้เป็นความคิดของหยางจินอิงและพรรคพวกเอง ไม่เกี่ยวกับคนนอกวัง”
ลู่เหิงมีการเรียบเรียงความคิดดีเลิศ ใคร่ครวญได้เป็นขั้นเป็นตอนและมีความเชื่อมโยงกัน จุดที่ไม่สมเหตุสมผลล้วนไม่อาจเล็ดลอดสายตาเขา หวังเหยียนชิงจึงปล่อยสมองให้ว่าง วางใจฟังเขาแจกแจง
ลู่เหิงมิได้แสดงความเอนเอียงของตนเอง ยังคงวิเคราะห์สถานการณ์ไปตามลำดับขั้นตอน “ลองคาดเดาว่าเป็นแบบที่หนึ่ง ผู้บงการเบื้องหลังทุ่มเทวางแผนถึงเพียงนี้แสดงว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากเรื่องนี้แน่ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับฝ่าบาทจริงๆ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจะเป็นใคร”
หวังเหยียนชิงนึกคำตอบได้ทันที “เป็นองค์ชายทั้งสามหรือ”
“องค์ชายทั้งสามอายุยังน้อย เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นฝีมือของมารดาบังเกิดเกล้าของพวกเขาเท่านั้น หากในวังมีการสวรรคตโดยไม่มีพระราชโองการ ตามธรรมเนียมประเพณี ขุนนางจะแต่งตั้งองค์ชายที่มีอายุมากที่สุด ดังนั้นในบรรดาพระชายาทั้งสาม มารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายรองหวังกุ้ยเฟยจึงน่าสงสัยมากที่สุด”
เวลาฮ่องเต้ส่งต่อบัลลังก์ล้วนพิจารณาจากความชื่นชอบและความสามารถ แต่ขุนนางจะเลือกพระโอรสองค์โตเสมอ ดังนั้นหากหยางจินอิงกระทำการสำเร็จจริง องค์ชายรองจูไจ่รุ่ยจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป
หวังเหยียนชิงพูด “หากเป็นเช่นนี้หวังกุ้ยเฟยก็น่าสงสัยมากทีเดียว ต่อไปพวกเราต้องตรวจสอบหวังกุ้ยเฟยหรือ”
ลู่เหิงไม่ได้ตอบ นิ้วมือนวดคลึงจอนผมของหวังเหยียนชิง พูดเนิบช้า “หวังกุ้ยเฟยน่าสงสัยมาก แต่ก็เป็นการเปรียบเทียบกับมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายทั้งสามเท่านั้น หากตอนนี้องค์ชายรองอายุสิบห้าสิบหก ผลประโยชน์ที่จะได้ย่อมคุ้มค่าให้หวังกุ้ยเฟยเสี่ยงอันตราย ทว่าองค์ชายรองยังอายุไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ ต่อให้ได้รับการสถาปนาเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จำเป็นต้องให้ขุนนางช่วยปกครองบ้านเมือง ถึงเวลานั้นอำนาจย่อมตกอยู่กับสภาขุนนาง หวังกุ้ยเฟยจะได้อะไร”
หวังกุ้ยเฟยมีโอกาส แต่นางไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย แค่นางรอให้บุตรชายเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย นางก็จะเป็นคนที่มีโอกาสชนะมากที่สุด ไยต้องเสี่ยงลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ด้วยเล่า
หวังเหยียนชิงถาม “ความหมายของท่านคือสภาขุนนาง?”
“บรรดาราชบัณฑิตในสภาขุนนาง ซย่าเหวินจิ่น ไจ๋หลวน นับรวมจิ้งจอกเฒ่าเหยียนเหวยอีกคน พวกเขาล้วนมีความสามารถที่จะติดสินบนหยางจินอิงได้ แต่ซย่าเหวินจิ่นเพิ่งนั่งตำแหน่งราชเลขาธิการ รากฐานยังไม่มั่นคง เขาต้องการการสนับสนุนจากเบื้องบน ตามหลักแล้วไม่น่าจะอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลานี้ ไจ๋หลวนเป็นรองราชเลขาธิการ ต่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางใหญ่ที่ช่วยจัดการงานแผ่นดิน ข้างหน้าก็ยังมีซย่าเหวินจิ่นขวางอยู่ พระราชกิจมิได้ขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด เป้าหมายหลักของเขาควรจะเป็นการโค่นล้มซย่าเหวินจิ่นมากกว่า มิใช่การปลงพระชนม์ ส่วนเหยียนเหวยยิ่งไม่สมเหตุสมผลเลย เขาเพิ่งเข้าสู่สภาขุนนาง ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์หรือชื่อเสียงบารมี การช่วยจัดการงานแผ่นดินก็ไม่มีทางตกมาถึงเขาได้ คนดีที่ตีหลายหน้าอย่างเขาจะกระทำเรื่องสุดโต่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
หวังเหยียนชิงถอนหายใจ เอ่ยถามตรงๆ “เช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นใคร”
“หลังจากคิดคำนวณมารอบหนึ่ง คนที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดดูเหมือนจะเป็นข้า” ลู่เหิงจุปาก เผยสีหน้าเหลือเชื่อ “หรือว่าไส้ศึกภายในจะเป็นข้าเอง”
* เนตรไฟตาทอง เป็นคำที่ใช้บรรยายลักษณะดวงตาของซุนหงอคงซึ่งสามารถจำแนกแยกปีศาจได้ ภายหลังอุปมาถึงผู้ที่มีสายตาแยกแยะดีชั่วได้อย่างกระจ่างแจ้ง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกันยายน 66)