ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 53-54
ลู่เหิงทักทายฮ่องเต้ เจี่ยงไทเฮา และจางฮองเฮาอย่างคล่องแคล่ว เจี่ยงไทเฮาเห็นลู่เหิงแล้ว สีหน้าปลาบปลื้มใจยิ่ง นางชำเลืองมองไปข้างหลังเขาแวบหนึ่ง ดวงเนตรเผยแววเข้าใจ “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ”
ใบหน้าลู่เหิงระบายยิ้มน้อยๆ ดุจเดิม เขาเบี่ยงตัวแล้วจูงหวังเหยียนชิงออกมา สีหน้าท่าทีเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่ากำลังประหม่า “ไทเฮา นี่คือชิงชิงพ่ะย่ะค่ะ”
หวังเหยียนชิงไม่กล้าเงยหน้า รีบยอบกายถวายคำนับ “ถวายพระพรเจี่ยงไทเฮาเพคะ”
สายตาของเจี่ยงไทเฮากวาดผ่านร่างของหวังเหยียนชิง เห็นเพียงสตรีผู้นี้รูปโฉมงามเฉิดฉัน หว่างคิ้วไม่มีความโอหังเอาแต่ใจสักนิด ยามคำนับสุขุมมั่นคง ดูออกว่าเป็นคนที่มีนิสัยนิ่งสงบและหนักแน่นผู้หนึ่ง เจี่ยงไทเฮาพึงพอใจมากยิ่งขึ้น แย้มสรวลเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถอะ ยากนักที่พวกเจ้าจะเข้าวังมาเยี่ยมข้า ไม่ต้องมากพิธี ยกเก้าอี้”
นางกำนัลยกเก้าอี้กลมเข้ามา หวังเหยียนชิงแม้จะจดจำเรื่องในอดีตไม่ได้ก็ยังทราบว่าเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮามิอาจนั่งลงได้อย่างเต็มที่ นางจึงนั่งเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ลู่เหิงรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างผ่อนคลาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “กระหม่อมอยากมาถวายพระพรไทเฮานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีเวลาว่างเลย วันนี้อาศัยพระบารมีของฝ่าบาทจึงพานางมาพบท่านได้”
เจี่ยงไทเฮายิ้มอย่างปลื้มปีติ “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี ทั้งสองคนแค่มีใจจะมาข้าก็พอใจแล้ว”
ลู่เหิงถือโอกาสนี้ถามไถ่อาการประชวรของไทเฮา สิ่งที่เขาถามมิใช่คำพูดว่างเปล่าอย่าง ‘หมู่นี้สุขภาพของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง’ แต่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยอย่างแท้จริง แทรกคำพูดน่าฟังเข้าไปเป็นครั้งคราว เอาใจเจี่ยงไทเฮาจนรอยยิ้มเต็มหน้า ประเด็นเหล่านี้หวังเหยียนชิงไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด นางเหมือนเหล่าสนมชายามากมาย เพียงก้มศีรษะอยู่เงียบๆ ยืนด้านข้างเป็นบุปผาประดับผนัง
ฮ่องเต้ประทับอยู่หน้าตั่ง กวาดตามองหวังเหยียนชิงเงียบๆ จากนั้นก็มองดูลู่เหิง ดวงตาฉายแววชมดูเรื่องสนุก
ลู่เหิงดูเหมือนรับมือกับสถานการณ์ได้สบาย แต่ในความเป็นจริงเขากำลังหนักอกหนักใจยิ่งนัก คำพูดแต่ละประโยคของเขาล้วนต้องคิดเผื่อคำพูดต่อไปอีกห้าประโยค รวมถึงท่าทีตอบสนองที่เป็นไปได้ของเจี่ยงไทเฮา ทั้งยังมิอาจเผยพิรุธ เขาช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
ลู่เหิงระวังป้องกันได้อย่างเหมาะสม ประกอบกับอาศัยโชคเล็กๆ น้อยๆ เรื่องราวจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นจนน่าแปลก หวังเหยียนชิงคิดว่าคำว่า ‘พวกเจ้า’ ของเจี่ยงไทเฮาคือ ‘พวกเจ้าพี่น้อง’ เจี่ยงไทเฮากลับคิดว่าเป็น ‘พวกเจ้าสามีภรรยา’ สนมชายาทั้งหลาย ณ ที่นั้นต่างเงียบสนิท ไม่มีใครตระหนักถึงความผิดปกติ
มีเพียงลู่เหิงกับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ความจริง พวกเขาสองคน คนหนึ่งแต่งเรื่อง คนหนึ่งดูอีกคนแต่งเรื่อง นับว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว
เจี่ยงไทเฮากวาดตามองไปรอบด้าน ในความทรงจำของนางลู่เหิงกับฮ่องเต้ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ทว่าเพียงพริบตาทั้งสองคนต่างก็มีครอบครัวแล้ว สมัครสมานปรองดองอยู่กันพร้อมหน้า ในใจนางรู้สึกสบายใจอย่างแท้จริง เอ่ยด้วยความสะทกสะท้อนปนทอดถอนใจ “ชีวิตนี้ของข้าผ่านลมฝนมาหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดายอีก เสียดายก็แต่ไม่ได้เห็นลูกของพวกเจ้าสองคน ดังคำกล่าวว่าสร้างครอบครัวก่อนแล้วจึงค่อยสร้างผลงาน พวกเจ้าสองคนต้องเร่งมือหน่อยแล้ว”
ใบหน้าของฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย เขาขึ้นครองราชย์มาสิบสามปี จวบจนบัดนี้ในวังยังไม่มีเด็กเลยสักคน เจี่ยงไทเฮาร้อนใจ ฮ่องเต้มีหรือจะไม่ร้อนใจ จางฮองเฮาได้ยินเจี่ยงไทเฮาพูดถึงทายาท สีหน้าเก้อกระดากอย่างห้ามไม่อยู่ ลุกขึ้นพูด “พระโอสถน่าจะเสร็จแล้ว หม่อมฉันขอตัวออกไปดูก่อนเพคะ”
ลู่เหิงได้ยินเจี่ยงไทเฮาพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้ว่าไม่ได้การ เขารีบฉวยโอกาสนี้ส่งสายตาให้หวังเหยียนชิง หญิงสาวเข้าใจความหมายของเขาโดยไม่จำเป็นต้องให้พูด ลุกตามจางฮองเฮาออกไป
หวังเหยียนชิงออกไปแล้ว สีหน้าของลู่เหิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก ฮ่องเต้ลอบชำเลืองมองลู่เหิงเงียบๆ
ฮองเฮาออกไปตรวจดูยาด้วยตนเอง สนมชายาคนอื่นๆ ย่อมไม่อาจรอเฉยอยู่ที่นี่ ต่างตามฮองเฮาออกไปหมด เพียงพริบตาคนในห้องก็หายไปกว่าครึ่ง รอจนคนน้อยลงแล้ว เจี่ยงไทเฮาจึงเผยแววตำหนิออกมา แสร้งขึงตาใส่ลู่เหิงหนึ่งที “ไหนเจ้าบอกว่าเจอคนที่ถูกใจจะพามาให้ข้าดู บัดนี้ไฉนจึงแอบซุกซ่อนไว้คนเดียว มิให้ข้ารู้”
ฮ่องเต้เฝ้าดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ คนแก่มีนิสัยขี้บ่นอย่างช่วยไม่ได้ เจี่ยงไทเฮาหากไม่บ่นลู่เหิงก็บ่นฮ่องเต้ เปรียบกันแล้วยังคงให้บ่นลู่เหิงไปดีกว่า
ตอนนี้ลู่เหิงรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าโชคดีนักที่ตนตอบสนองว่องไว ส่งหวังเหยียนชิงออกไปทันเวลา หาไม่แล้วเจอคำพูดประโยคนี้เข้า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรยังมิกล้าคิด
ลู่เหิงรู้ว่าหวังพึ่งผู้อื่นไม่ได้จึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง “เป็นเพราะยังไม่มีเวลาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าหลังจากเสร็จงานช่วงนี้แล้วจะพานางมาพบไทเฮา ไหนเลยจะทราบว่าพระนางข่าวสารฉับไว นำหน้ากระหม่อมไปหนึ่งก้าว”
เจี่ยงไทเฮาไม่ไปถือสาว่าคำพูดนี้ของเขาเป็นจริงหรือเท็จ เอ่ยด้วยความหวังดีอีกครั้ง “ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใดก็ต้องสนใจครอบครัวบ้าง คำพูดนี้ข้าไม่ได้พูดกับลู่เหิงเพียงเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็เช่นกัน”
คำพูดพวกนี้ฮ่องเต้ฟังจนหูจะแฉะอยู่แล้ว ใจเขาไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างนั้นปากกลับตอบว่า “เราจะจดจำไว้”
เจี่ยงไทเฮาบงการบุตรชายไม่ได้นานแล้ว สิ่งที่นางพูดได้ล้วนพูดไปจนหมดสิ้น ที่เหลือย่อมขึ้นอยู่กับตัวลูกหลานเอง ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เจี่ยงไทเฮาได้เห็นคนรุ่นหลังแล้วเบิกบานใจจึงถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องภายหลังของตน “โรคของข้าน่าจะภายในไม่กี่วันนี้แล้ว รอไว้ข้าตาย ฮ่องเต้ไม่ต้องไว้ทุกข์ให้ข้าหรอก ควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นไป รีบให้กำเนิดทายาทเสียจึงจะเรียกว่ากตัญญูต่อข้าอย่างแท้จริง”
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลู่เหิงก็เก็บรอยยิ้ม หลุบตาลงเงียบๆ ฮ่องเต้เอ่ยปาก “เสด็จแม่ เถาจ้งเหวินกำลังศึกษาค้นคว้ายาลูกกลอนแบบใหม่ให้ท่าน ท่านจะพูดเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใดกัน”
เจี่ยงไทเฮาตอบ “ข้าไม่ชอบยาลูกกลอนพวกนั้น เจ้าอย่าทรมานข้าอีกเลย บั้นปลายอายุข้ามาถึงแล้ว ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้ ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ถือโอกาสตอนที่ข้ายังพูดได้ จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย รอไว้วันนั้นมาถึงจริงๆ จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”
ฮ่องเต้เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ลู่เหิงยิ่งไม่มีทางสานต่อ เจี่ยงไทเฮาจึงพูดต่อ “เรื่องภายหลังของข้าไม่จำเป็นต้องทำให้เอิกเกริก แต่ขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น จะต้องฝังข้าไว้กับบิดาเจ้าให้ได้”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เสด็จแม่โปรดวางใจ เราเข้าใจแล้ว”