ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60
ลู่เหิงพยักหน้า ถอนหายใจเอ่ย “นั่นสิ หลังจากมันตกลงไปข้าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรและเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการไล่ตามทันที แต่มันกลับหายตัวไปภายใต้สายตาของทุกคน ที่ว่าการมีพื้นที่เพียงเท่านี้ มันยังจะไปซ่อนตัวที่ใดได้อีก”
เจ้าเมืองเฉิงได้ยินดังนั้นรีบพูดทันใด “ผู้น้อยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากใต้เท้าลู่ไม่เชื่อ สามารถไปค้นเรือนของผู้น้อยได้ ผู้น้อยไม่มีข้อโต้แย้งแน่นอน”
ลู่เหิงเห็นเถาอีหมิงเดินมาจากข้างหลังช้าๆ เขายิ้มถาม “นายอำเภอเถา ท่านคิดว่าอย่างไร”
เถาอีหมิงประสานมือเช่นกัน ตอบว่า “ผู้น้อยยินดีให้ความร่วมมือกับใต้เท้าลู่ในการสืบคดี”
ลู่เหิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่งคนออกไปค้นเรือนทันที แม้กระทั่งเรือนของเฉิงโยวไห่และเถาอีหมิงก็ไม่ละเว้น ทหารถือโคมไฟเปิดประตูค้นไปทีละห้อง ทุกคนยืนอยู่ด้วยกันข้างนอก เฝ้ารอผลการค้นหาเงียบๆ
เดือนเจ็ดอากาศเริ่มเย็นลงทีละนิด ราตรีนี้หนาวเย็นเล็กน้อย เจ้าเมืองเฉิงถูแขนไปมาพลางพูด “ใต้เท้าลู่โปรดอภัย ผู้น้อยรีบออกมาอย่างฉุกละหุกจึงไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้ดี แต่งกายไม่เรียบร้อย ทำให้ใต้เท้าลู่ขบขันแล้ว”
ลู่เหิงพยักหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงว่าตนไม่ถือสา รออีกพักหนึ่งองครักษ์เสื้อแพรค้นหาเสร็จสิ้นและออกมารายงานลู่เหิง “เรียนผู้บัญชาการ ไม่พบคนกระดาษแต่อย่างใด”
สีหน้าของเถาอีหมิงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เจ้าเมืองเฉิงกลับสูดหายใจด้วยความตระหนก “นี่…นี่มันตัวอะไรกันแน่!”
เวลานี้เองมีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา ร้องบอกอย่างลนลาน “ใต้เท้าเฉิง ใต้เท้าลู่ นายอำเภอเถา เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
ลู่เหิงสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยถาม “เรื่องใดทำให้เจ้าตื่นตระหนกถึงเพียงนี้”
“หน้าประตูที่ว่าการอำเภอมีคนกระดาษตั้งอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ท่านรีบไปดูเถอะขอรับ!”
ลู่เหิงและเจ้าเมืองเฉิงได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้ก็รีบรุดไปหน้าประตู กลุ่มคนในที่ว่าการทะลักไปยังประตูใหญ่ จริงดังว่า ด้านนอกประตูหลักบนขั้นบันไดมีคนกระดาษตั้งอยู่อย่างผึ่งผาย รายละเอียดของคนกระดาษปรากฏชัดเจน คิ้วตาประหนึ่งคนจริง ปากสีแดงสดยิ้มอ้ากว้างจนแทบจะฉีกไปถึงโคนหู
เจ้าเมืองเฉิงเห็นคนกระดาษแล้วร้องโอย รีบปิดตาไว้ ทหารพากันวิพากษ์วิจารณ์ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปากทางทุกจุดถูกเฝ้าไว้เป็นอย่างดี มันวิ่งออกมาข้างนอกได้อย่างไร”
เสียงผู้คนเจือแววประหลาดใจ ความหวาดหวั่นอันไร้เสียงแผ่กระจายออกไปในราตรี ลู่เหิงกลับเหมือนไม่ได้ยิน เดินไปตรงหน้าคนกระดาษอย่างสุขุม ยืนเผชิญหน้ากับคนกระดาษที่สูงเท่าตัวคน
เมื่อครู่นี้อยู่ไกลมองเห็นไม่ชัด บัดนี้ยืนอยู่ใกล้จึงพบว่าทำได้เหมือนจริงโดยแท้ ลู่เหิงจับกระดาษพลางถาม “นี่เป็นผลงานของช่างฝีมือร้านใด”
เจ้าเมืองเฉิงปิดตาอยู่ อย่าว่าแต่ตอบคำถามเลย แม้กระทั่งมองคนกระดาษตรงๆ เขายังไม่กล้า เถาอีหมิงได้แต่ก้าวออกมาชี้แจง “อำเภอนี้แม้จะมีร้านขายเสื้อผ้าคนตายและกระดาษเงินกระดาษทอง แต่ฝีมือหยาบกระด้าง ไม่มีทางทำคนกระดาษที่เหมือนจริงได้ถึงเพียงนี้ น่าจะมาจากข้างนอกขอรับ”
“มาจากข้างนอก?” ริมฝีปากของลู่เหิงยกยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มี “ประตูเมืองลงดาลแล้ว จะมาจากข้างนอกได้อย่างไร”
เจ้าเมืองเฉิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นตามความเห็นอันสูงส่งของใต้เท้าลู่…”
“กลับไปนอนก่อนเถอะ” มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลู่เหิงกลับล้มเลิกความคิดที่จะสืบหาความจริงกะทันหัน “ดึกมากแล้ว ขืนเสียเวลาต่อไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ คืนนี้รบกวนทุกท่านแล้ว ขอบคุณท่านทั้งสองที่ให้ความร่วมมือ”
เจ้าเมืองเฉิงกับเถาอีหมิงปฏิเสธเป็นพัลวัน มิกล้ารับคำ ลู่เหิงบอกให้แยกย้าย ทุกคนมิกล้าไม่ปฏิบัติตาม คนของที่ว่าการอำเภอทยอยเดินกลับไป องครักษ์เสื้อแพรเห็นว่าหน้าประตูยังมีคนกระดาษฉีกยิ้มตั้งอยู่จึงกุมหมัดถาม “ผู้บัญชาการ ของสิ่งนี้…”
ลู่เหิงกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วสั่งการ “หาสถานที่สะอาดห่างไกลน้ำเก็บรักษาไว้ให้ดี พรุ่งนี้สืบคดียังต้องเกี่ยวข้องกับคนกระดาษตัวนี้”
“รับทราบขอรับ”
องครักษ์เสื้อแพรเคยเห็นทั้งคนตายคนเป็นมาไม่น้อย มิต้องพูดถึงคนปลอมที่ทำจากกระดาษ พวกเขาก้าวเข้าไปแบกคนกระดาษที่สูงเท่าคนจริงขึ้นมา และเดินไปยังเรือนหลัง ฝูงชนสลายตัว ลู่เหิงรั้งท้าย เขาเดินกลับเรือนอย่างเชื่องช้า หวังเหยียนชิงเดินเข้าไปข้างกายเขาเงียบๆ ลู่เหิงหันมามองนาง หยิกแก้มนางอย่างขบขัน “เป็นอะไรไป ทำหน้าจริงจังถึงเพียงนี้”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไร
รอจนกลับถึงเรือนแล้ว หวังเหยียนชิงก็ปิดประตูทันที พูดกับลู่เหิง “พี่รอง เรื่องในคืนนี้ไม่ปกติ”
ลู่เหิงยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้”
“เช่นนั้นท่าน…”
ลู่เหิงส่ายหน้า กุมมือนางไว้ จากนั้นก็แตะมือที่คอนางเพื่อวัดความอุ่นเย็นของร่างกาย “ร่างกายเจ้าไม่ปกติ สองวันนี้ต้องระวังให้มากหน่อย ดึกมากแล้ว เจ้ารีบไปนอนเถอะ”
เมื่อครู่ที่ลู่เหิงพูดหน้าประตูว่าดึกแล้ว ขืนเสียเวลาต่อไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ เขาหมายถึงหวังเหยียนชิง หาไม่แล้วเขาจะสนใจไปไยว่าเฉิงโยวไห่กับเถาอีหมิงสุขภาพเป็นอย่างไร
หวังเหยียนชิงจับความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเขาได้ รีบถาม “แล้วท่านล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะเฝ้าอยู่ในเรือนนี่ล่ะ” ลู่เหิงพูดจบ เอ่ยอย่างไม่จริงจัง “ถือโอกาสนี้ไปหาของในห้องตะวันตกเล็กน้อยด้วย”
“ก่อนหน้านี้ท่านมิใช่บอกว่าเอกสารเยอะเกินไปหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ดังนั้นจึงต้องหาตอนนี้เลย”
หวังเหยียนชิงถูกไล่ไปนอนบนเตียง ลู่เหิงอ่านเอกสารอยู่ในห้องตะวันตก เขากลัวจะรบกวนการนอนของนางจึงหุ้มโคมไฟไว้อย่างแน่นหนา หวังเหยียนชิงมองผ่านม่านเตียงไปเห็นแสงสีส้มสลัวรางสะท้อนอยู่หน้าประตู หูคลับคล้ายได้ยินเสียงพลิกกระดาษอย่างแผ่วเบา
นางจดจำอดีตของตนเองไม่ได้ แต่ราวกับฤดูร้อนก็สมควรเป็นเช่นนี้
นางไม่รู้ว่าตนเองปิดตาลงและหลับสนิทไปเมื่อใด
ในความฝัน นางเหมือนจะได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู มีคนออกไปและกลับเข้ามา นางอยากจะลืมตา แต่แขนขาทั้งสี่ราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้…
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าสลัวราง หวังเหยียนชิงพลันสะดุ้งตื่น นางนอนอยู่บนเตียง ขยับตัวเล็กน้อยก็รู้สึกปวดเมื่อยที่เอว
นางถอนหายใจยาว
โชคไม่ดีเลยจริงๆ ลู่เหิงพูดถูกจนได้
ระดูของนางมาแล้ว
โชคดีที่ก่อนออกเดินทางนางเตรียมสัมภาระติดตัวไว้ห่อหนึ่ง ตอนนี้จึงไม่ถึงขั้นลนลาน หวังเหยียนชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ตอนเดินออกมาก็ไม่เห็นเงาของลู่เหิงแล้ว เทียนไขในห้องตะวันตกเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง บนโต๊ะหนังสือยังมีเอกสารที่อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งกางอยู่
หวังเหยียนชิงหยิบขึ้นมาดู บนนั้นเป็นคดีคนหายคดีหนึ่ง ผู้แจ้งความบอกว่าพวกเขาอาศัยอยู่ด้านล่างของอารามชิงซวี ละแวกใกล้ๆ มักมีชายฉกรรจ์หายตัวไป ครั้งหนึ่งพวกเขาเดินทางตอนกลางคืน เหมือนจะเห็นนักพรตของอารามชิงซวีแบกของบางอย่างเข้าไปทางประตูหลัง
ชายฉกรรจ์? คำบรรยายนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในหมู่บ้านเหอกู่ หวังเหยียนชิงหาที่นั่งลงและตั้งใจอ่านสำนวนคดีนี้ ประตูถูกคนผลักเข้ามากะทันหัน ลู่เหิงเดินเข้ามา เห็นหญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ทักว่า “เจ้าตื่นเช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ วันนี้ไฉนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเล่า”
หวังเหยียนชิงก้มศีรษะพลิกกระดาษไปอีกหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลู่เหิงกลอกตาเล็กน้อย มิได้ถามต่อ “เจ้าตื่นพอดี ข้าสั่งห้องครัวไว้แล้ว ประเดี๋ยวให้ส่งอาหารเช้ามาให้เจ้า ต้องตั้งใจกินด้วยล่ะ ห้ามเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาด”
หวังเหยียนชิงฟังคำพูดเขาแล้วรู้สึกชอบกลจึงเงยหน้าถาม “พี่รองจะออกไปข้างนอกหรือ”
“ใช่” ลู่เหิงพยักหน้า “ข้าให้คนไปสืบหาร้านที่ทำคนกระดาษ เมื่อครู่ได้เบาะแสแล้ว ข้าจะไปดูด้วยตนเอง เจ้าอยู่ในที่ว่าการคนเดียวไม่มีปัญหาอะไรกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไร” หวังเหยียนชิงส่ายหน้า พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างละอาย “เสียดายที่ข้ามักเป็นตัวถ่วงอยู่เรื่อย ไม่สามารถตามท่านออกไปได้”
ลู่เหิงก้าวเข้าไป มือข้างหนึ่งยันโต๊ะ มืออีกข้างลูบศีรษะนาง จ้องตานางอย่างจริงจัง “เจ้ารักษาร่างกายให้ดีก็คือการช่วยข้ามากที่สุดแล้ว พักผ่อนให้ดี อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถ้าตอนกลางวันข้าไม่กลับมา เจ้าก็กินข้าวเอง”