ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะใจกว้างกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองมาตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานแต่งงานของบุตรสาวตนเอง จะไม่มีจิตใจเอนเอียงได้อย่างไร ตอนนี้ในใจนางไม่พอใจอย่างมาก พูดเสียงดังขึ้นว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร! เจ้าหวังอยากให้พี่รองของเจ้าเกิดเรื่องขึ้นให้ได้อย่างนั้นหรือ”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับไม่ยอมอ่อนข้อ พูดด้วยเสียงดังกังวาน “เสวียนเอ๋อร์แค่พูดความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว ซือหม่าผู้นั้นไม่ลงรอยกับพี่รองอยู่แล้ว ตอนนี้พี่รองมีชนักติดหลังทั้งยังตกอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่จัดการได้อย่างไร แผนในตอนนี้ ย่อมต้องเป็นการแก้ไขเรื่องด่วนเฉพาะหน้า รักษาหน้าตาของหลี่เสิ่นสองสกุลเอาไว้จึงจะถูก”
พูดจบนางก็เหลือบมองเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ด้านข้าง กลับเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อน ในใจก็รู้สึกโมโห เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงไม่พูดไม่จาอีก
ในตอนนี้เอง บ่าวเฝ้าประตูก็มารายงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมาที่คฤหาสน์ด้วยตนเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมีอายุน้อยกว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เล็กน้อย แม้สกุลเสิ่นจะตกต่ำมาระยะหนึ่ง แต่นางกำเนิดในครอบครัวขุนนาง สวมเสื้องามกินอาหารดีมาแต่เด็ก ทุกอย่างล้วนต้องประณีต จึงดูสูงสง่าราวปุยเมฆลอยสูงอยู่บนฟ้าไม่แตะดินแม้แต่น้อย
เดิมทีใจนางดูถูกครอบครัวพ่อค้าอย่างสกุลหลี่อยู่แล้ว เมื่อคิดว่าหญิงที่ใกล้จะมาเป็นลูกสะใภ้เป็นคนสมองเสื่อมพาออกงานไม่ได้ ความอึดอัดรำคาญใจนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อคิดว่าภายหน้ากลับเมืองหลวง งานเลี้ยงน้ำชาในเรือนหลังคงมีไม่น้อย ลูกสะใภ้ของคนอื่นล้วนเป็นธิดาตระกูลใหญ่เฉลียวฉลาด พอมาถึงบ้านนาง กลับต้องพาคนปัญญาอ่อนไปทำขายหน้า นางก็กังวลทั้งคืนจนยากจะนอนหลับได้
แต่ว่าสกุลเสิ่นที่ผ่านมาอยู่ในการตัดสินใจของบุตรชายคนรอง เขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อฟังมารดาเลย แม้จะกังวลแต่นางก็ทำได้เพียงอดทนไว้ อย่างไรเสียการฟื้นฟูสกุลเสิ่นยังต้องอาศัยสุดยอดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่
ทว่าเมื่อวาน บุตรชายกลับมาพูดเปลี่ยนใจ บอกนางว่าจะแต่งกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองสกุลหลี่เข้าคฤหาสน์มาพร้อมกันด้วย อยากให้นางไปพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นติในชาติกำเนิดต่ำต้อยของหลี่เสวียนเอ๋อร์ แต่ในใจก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน
หากเป็นจริงตามที่บุตรชายพูดเรื่องว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์กุมเคล็ดวิชาสกุลหลี่ที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอกเอาไว้ แม้ชาติกำเนิดจะไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอจะทูลขอรางวัลจากฮ่องเต้ได้ ถึงยามต้องพานางออกบ้านไปพบปะสหาย ก็ไม่นับว่าขายหน้ามากนัก
อีกอย่าง ภายหน้ารอให้สกุลเสิ่นฟื้นตัว ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาสกุลหลี่แล้ว บุตรชายคนรองค่อยหาคู่ครองที่เหมาะสม ให้นางที่เป็นสะใภ้จากลูกภรรยารองไปเป็นอนุหลีกทางให้คนเหมาะสมกว่าก็นับว่ามีเหตุผล เพื่อนบ้านข้างเคียงก็พูดนินทาว่าร้ายอะไรไม่ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมฆหมอกในใจฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นก็จางหายไป จึงทำตามคำสั่งของบุตรชายมาพูดทาบทามที่คฤหาสน์สกุลหลี่
ไม่คิดว่าพอเข้าประตูมาก็เห็นคนในคฤหาสน์สกุลหลี่ท่าทางเคร่งเครียดเตรียมปะทะกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปั้นหน้าเครียด จนกระทั่งเห็นนางจึงได้ฝืนยิ้มออกมา แต่ในตอนที่นางลองเอ่ยปากพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ตึงเป็นกลองหนังวัวอีกครั้ง
“เห็นทีนี่คงไม่ใช่คุณหนูสามในคฤหาสน์ของพวกเราคิดไปข้างเดียวเสียแล้ว แต่ได้พูดเจรจากับสกุลเสิ่นของพวกท่านไว้ก่อน! ในเมื่อสองฝ่ายรักกัน ข้าที่เป็นฮูหยินใหญ่จะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวางล่ะ ไม่เช่นนั้นคนนอกคงจะเข้าใจผิดว่าข้าใจร้ายกับลูกของภรรยารอง” เมื่อมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เลอะเลือนมาตลอดก็นับว่าเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน คิดถึงครั้งก่อนที่โจวอี๋เหนียงเสนอเรื่องแต่งงานพร้อมกันขึ้นมา ที่แท้ก็มีแผนไว้แต่แรกแล้ว ในใจของนางโกรธจนแทบระเบิด!
ว่ากันว่าหนาวร้อนทำให้รู้น้ำใจจริง คิดไม่ถึงว่าพอบุตรสาวคนรองป่วย แต่ละคนในคฤหาสน์ก็พากันเผยร่างแท้ และยังรีบร้อนจนทนไม่ไหวเช่นนี้อีกด้วย…