ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พยายามรวบรวมความกล้า ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณซือหม่าที่ให้ข้าน้อยเข้าพบ เมืองเล็กอย่างเมืองเหลียวเฉิงไม่มีของล้ำค่าอะไรที่สามารถเอาออกมาได้ จึงตั้งใจเอารากเหอโส่วอู อายุห้าร้อยปีที่ร้านของสกุลหลี่ซื้อไว้มาให้ใต้เท้าบำรุงร่างกาย”
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตามองไป ในกล่องของขวัญที่เปิดออกมีรากเหอโส่วอูรูปร่างเหมือนคนชิ้นใหญ่วางอยู่ มองดูสีสันและรูปร่างแล้วนับเป็นของชั้นเลิศยิ่ง
“ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากแล้ว แต่รากเหอโส่วอูนี้เป็นการเสียดสีว่าข้าผมขาวเต็มหัวอย่างนั้นหรือ” เขาดื่มชาหนึ่งอึก ขนตายาวหลุบลง เอ่ยถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ถูกฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ครึ่งค่อนชีวิตของนางไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยคิดอะไรเลย สามีมีความสามารถ บุตรสาวฉลาดเฉลียว การรับรองในสถานการณ์เหล่านี้นางต้องออกหน้าเสียเมื่อใดกัน
วันนี้เตรียมของขวัญให้ฉู่ซือหม่า นางก็คิดจนหัวแทบแตก ได้ยินว่าซือหม่าผู้นี้เป็นผู้นำกองทหาร เป็นคนสำคัญยิ่ง คิดว่าคงพบเห็นความหรูหรามาจนชินแล้ว ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร คิดถึงว่าเขามีผมขาวตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นจึงเตรียมรากเหอโส่วอูอายุห้าร้อยปีชั้นเลิศที่หาได้ยากนี้ และเตรียมโฉนดที่ดินร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงพร้อมกับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อติดสินบนใต้เท้าซือหม่าผู้นี้
แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยปากขอร้องแทนบุตรสาวคนรองก็ถูกซือหม่าสั่งสอนเป็นนัย นางรู้สึกว่ารากเหอโส่วอูที่มอบให้นั้นราวกับเหล็กร้อนลวกมือ ทำให้นั่งยืนก็ไม่สบายใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำได้เพียงพูดว่า “ข้า… ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พบเจอชายหนุ่มเจียงหนานที่สุภาพมาจนชิน คิดว่าชายจากทางเหนือต้องพูดตรงไปตรงมา ตอนนี้กล่องของขวัญใหญ่ๆ นี้วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ตั๋วเงินและโฉนดที่ดินก็วางอยู่ริมกล่องเผยให้เห็นมุมหนึ่งของแผ่นกระดาษ ได้แต่รอดูคำพูดประโยคเดียวของท่านซือหม่าว่าจะปล่อยคนหรือไม่ปล่อย
แต่ซือหม่าผมขาวใบหน้าเย็นชาผู้นี้กลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ ใช้เวลาไปกับการดื่มชาสามอย่างของเมืองเหลียวเฉิงอย่างเต็มที่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าเร่งเขาเช่นกัน ทำได้เพียงใช้สายตากระวนกระวายมองดูมือใหญ่เรียวยาวที่ถือดาบถือกระบี่จนชินจับตะเกียบไม้ไผ่เล็กๆ คีบเม็ดบ๊วยกับน้ำตาลกรวดใส่ในถ้วยทีละอย่าง
อย่าเห็นว่าฉู่ซือหม่าเป็นคนต่างถิ่น แต่การดื่มชานี้พิถีพิถันมาก การดื่มโดยใส่ลูกบ๊วยหนึ่งเม็ดกับน้ำตาลกรวดสองก้อนเหมือนกับความชอบของบุตรสาวคนรองของนาง…
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เริ่มเหม่อ ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นทันใด “ฮูหยินร้อนใจเช่นนี้ เพราะกลัวจะเสียเวลาการแต่งงานของแม่นางรั่วอวี๋หรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงมีกลิ่นอายกดดันคนอยู่แล้ว ตอนนี้เขาถามขึ้นอย่างกะทันหัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ทันตั้งรับจึงหลุดปากพูดความจริงออกมา “ไม่ใช่อย่างนั้น บุตรสาวข้าถอนหมั้นกับสกุลเสิ่นแล้ว…” พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็รีบหยุด น่าเสียดายที่ถึงเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว
ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ยั้งถ้วยชาไว้เลิกคิ้วแล้วถาม “อ้อ? คุณชายรองเสิ่นไม่ต้องการแต่งงานแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นฉู่ซือหม่าสนใจกันขึ้นมาแล้วจึงลอบถอนหายใจ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามกลับแทงใจดำของนางยิ่ง เรื่องน่าอับอายของสกุลเช่นนี้ยากจะพูดนัก แต่ก็ไม่กล้าไม่ตอบจึงฝืนใจพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ท่านก็เห็นว่าบุตรสาวข้าป่วยจนเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังจะเป็นภรรยาผู้ใดเขาได้อย่างไร จะไปทำลายสกุลของผู้อื่นก็ไม่ดี คิดไปคิดมา ข้าน้อยจึงตัดสินใจถอนหมั้นกับสกุลเสิ่น คุณชายรองเสิ่นเปลี่ยนไปแต่งกับ…คุณหนูสามสกุลหลี่ของพวกเรา ก็นับว่า…เป็นการรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองสกุลเอาไว้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่ซือหม่าก็ถามต่ออีกว่า “เทียบถอนหมั้นนั่นส่งไปถึงแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบ
จากนั้น ฉู่ซือหม่าผู้นั้นก็นิ่งเงียบขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงพูดต่อไปว่า “เดิมทีข้าเห็นวันมงคลของคุณหนูรองใกล้เข้ามาแล้ว คิดว่าอาการป่วยของคุณหนูรองไม่เป็นอะไรมาก ไม่แน่ว่าแต่งงานเสริมมงคลเสียหน่อยก็หายแล้ว ถึงตอนนั้น คดีขนส่งสินค้าต้องห้ามนี้จะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับบอกว่าถอนหมั้นไปแล้ว เช่นนั้นพิสูจน์ได้ว่าอาการป่วยของคุณหนูรองหนักจริงๆ ทำให้คนป่วยลำบากใจเช่นนี้ดูออกจะ…”