วันนี้การบำรุงมานานนับว่ามีที่ให้ใช้งานแล้ว มีแขกทรงเกียรติมาเยี่ยมคุณหนูโดยเฉพาะ ดูท่าแล้วคงจะมาแนะนำคนดีที่จะมาแต่งงานกับคุณหนู ท่านหญิงไหวอินน่าเชื่อถือมากกว่าแม่สื่อถามท้องถนน นางย่อมต้องแต่งตัวคุณหนูให้ดูงดงามเป็นพิเศษ!
ตลอดทางเดินไปถึงโถงด้านหน้า นางก็พูดปากเปียกปากแฉะกำชับคุณหนูว่าอีกครู่ต้องทำตัวดีๆ อย่างไร คารวะทักทายอย่างไร จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ห้ามขยับไปมาเด็ดขาด
รอจนเข้าไปในโถงด้านหน้าก็พบว่าความเหน็ดเหนื่อยของหล่งเซียงไม่เสียเปล่า ท่านหญิงไหวอินเห็นท่าทางงดงามของคุณหนูรองแล้วดวงตาพลันเปล่งประกายพลางพยักหน้าให้เบาๆ ส่วนซือหม่า ใบหน้าเย็นชานั้นจ้องคุณหนูไม่วางตาเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหลุบตาลง ก้มหน้าเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีคิดจะฟังคำของหล่งเซียง เข้าไปคารวะทักทายแขกอย่างดี แต่คิดไม่ถึงว่าพอช้อนตาขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในโถงรับแขก จึงหยุดชะงักไม่เดินเข้าไป
นางไม่ได้ลืมว่าหลายวันก่อนได้อยู่ใกล้กับเขา คนผู้นี้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เดิมทีเห็นเขาซื้อของเล่นน่ารักมากมายให้ตนเอง ก่อนจากมายังมอบ ‘เหยี่ยว’ ให้นางอีกหนึ่งตัว ก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกอันดีต่อเขา แต่ตอนที่นางใกล้จะขึ้นรถม้า บังเอิญหันหน้าไปมอง เขายืนนิ่งอยู่บนชั้นสองของที่พักรับรองกำลังมองนางอยู่ ในดวงตาปรากฏประกายสีแดงอีกแล้ว…
หลี่รั่วอวี๋แม้จะสมองไม่ค่อยดีนัก แต่ก็คิดได้ว่าตอนที่ในดวงตาของเขามีประกายสีแดง มีความหมายในทางไม่ดี ถูกเขาจ้องอย่างนั้น แม้จะเข้าไปในรถม้าแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่าสายตาร้อนแรงของคนผู้นั้นเผาตัวรถจนเป็นรู จึงอยากให้รถม้ารีบจากไป ไปให้ไกลจากเขา
ตอนนี้นางมีความคิดเด็กๆ แม้ทุกวันจะเล่นของเล่นที่เขามอบให้ แต่ก็ลืมน้ำใจของเขาไปหมดแล้ว ผ่านไปนานเพิ่งได้เจอเขาอีกครั้ง ในสมองจำได้แต่ตอนที่จากมา สายตาแดงก่ำจะกินคนของเขา ความลึกล้ำในแววตานั้นคล้ายกับเสิ่นหรูป๋ออยู่บ้าง ตอนที่จ้องนางทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวและรำคาญใจเหลือเกิน!
แต่ตอนนี้เขามาจ้องหน้านางแบบนี้ ทำท่าเหมือนนางเป็นขนมโก๋เมล็ดซิ่ง เคลือบน้ำผึ้ง อยากจะกัดสักคำ… หลี่รั่วอวี๋เบ้ปาก ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
หล่งเซียงเห็นคุณหนูยืนนิ่งอยู่ตรงประตูโถงก็รู้สึกร้อนใจ กลัวว่าคุณหนูจะงอแง ทำขายหน้าต่อหน้าแขกทรงเกียรติ จึงได้จูงมือคุณหนูและดันให้นางเดินไปข้างหน้าพลางพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินเตรียมผลไม้มากมายให้แขก อีกครู่ดูว่าคุณหนูชอบกินอันไหน หล่งเซียงจะไปหยิบชิ้นใหญ่มาให้ดีหรือไม่”
บังเอิญในตอนนี้ เขาก็เลื่อนสายตาไปเช่นกัน หลี่รั่วอวี๋พ่นลมหายใจ ยอมให้หล่งเซียงดึงตัวนางเข้าไปในโถงรับแขก แล้วหันไปเรียกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง “ท่านแม่…” เรียกเสร็จแล้วนางก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กางให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูเหมือนของล้ำค่า “รั่ว…รั่วอวี๋เขียนเอง ดีหรือไม่”
บนกระดาษขาวสะอาดนั้น มีอักษรเพียงตัวเดียวคือคำว่า ‘หลี่’ นางเลียนแบบอักษรที่น้องชายเขียนและใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เขียนตัวอักษรที่นางคิดว่าเป็นตัวแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากนางบาดเจ็บที่หัว มือเท้าก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี เดือนก่อนเพิ่งจะลงจากเตียงมาเดินได้ ความคล่องแคล่วของข้อมือก็แย่ลงไปมาก อักษร ‘หลี่’ ตัวนี้จึงบิดเบี้ยวไปมา ข้างๆ ยังมีรอยหมึกหยดเต็มไปหมด รอยหมึกกระจายตัวดูเหมือนบนต้นไม้บิดเบี้ยวต้นหนึ่งมีผลไม้สีดำเป็นลูกๆ
หล่งเซียงถูมืออย่างร้อนใจอยู่ด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าคุณหนูคว้ากระดาษแผ่นนี้มาใส่อกเสื้อตั้งแต่เมื่อใดกัน
ท่านหญิงไหวอินแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่หางตานั้นยังทนไม่ไหวที่จะเหลือบมองภาพล่องเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่แขวนไว้ในโถงรับแขกนั้นแวบหนึ่ง…
จริงสิ เป็นผู้ใดได้เห็นตัวอักษรดูไม่ได้ในมือของนาง แล้วมองภาพวาดที่แฝงความหมายภาพนั้น ก็ยากที่จะไม่สบถด้วยความเห็นใจ น่าเสียดายสตรีมีความสามารถผู้หนึ่ง!