ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่สาม-บทที่สี่
คิดถึงตรงนี้ นางก็ทนไม่ไหวเอี้ยวหน้ามองไปทางน้องชาย เป็นการถามแบบไร้เสียงว่าเรื่องที่เขามาขอร้องก่อนหน้านี้จริงจังหรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงนั้นกลับสงบนิ่ง มองหญิงสมองเสื่อมชูของมีค่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตอนที่ขยับปลายคางไปสบตากับท่านหญิงไหวอินก็ฉายความรำคาญออกมา นิ้วเรียวยาวที่ประคองถ้วยชาขยับเคาะเบาๆ
ท่านหญิงไหวอินเข้าใจนิสัยของน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ดี เขากำลังเร่งให้นางรีบเข้าสู่เรื่องสำคัญ
นางจึงแอบถอนหายใจ กลั่นกรองคำพูดแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “คุณหนูรองยังฉลาดไม่น้อย ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คนอื่นล้วนพูดว่าคุณหนูรองงามทั้งในนอก วันนี้เห็นแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย…” พูดถึงตรงนี้ ท่านหญิงไหวอินก็รู้สึกว่าไม่ควรเยิ่นเย้อ จึงพูดต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เทียบเยือนได้มอบให้แล้ว ในนั้นสอดดวงชะตาที่ข้าได้หาคนมาผูกดวงดูแล้ว ดวงชะตาน้องชายของข้ากับคุณหนูรองก็เป็นคู่ที่ดีหาได้ยากเช่นกัน ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นใด จะยินดีมอบของรัก ยกคุณหนูรองให้สกุลฉู่ได้หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังจูงมือหลี่รั่วอวี๋ ให้นางมานั่งลงข้างกายตนเอง พอได้ยินท่านหญิงไหวอินพูดเช่นนี้ ในใจไม่รู้สึกตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนที่อยู่หน้าประตู ท่านหญิงไหวอินได้บอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รั่วอวี๋ของพวกเราสามารถเข้าตาของท่านหญิงได้ นับเป็นวาสนาที่สะสมมาจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทาบทามให้น้องชายคนใด เขาอายุเท่าใด สุขภาพเป็นอย่างไร เคยแต่งภรรยาเอกหรืออนุหรือไม่ เหตุใดจึงหมายตารั่วอวี๋ของพวกเราได้ หรือว่า… เขาไม่รู้ว่ารั่วอวี๋ป่วยแล้ว”
ไม่โทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ชัดในสถานการณ์ เรื่องการทาบทามสู่ขอปกติจะมีแม่สื่อมาออกหน้า อย่างไรเสียการเจรจาก็มีบางครั้งที่ไม่สำเร็จ หาคนนอกมาช่วยเชื่อมสองสกุล จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดหากไม่ได้ดองกัน ผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ระดับท่านหญิงนี้มาที่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่งด้วยตนเองเพื่อทาบทามหญิงสมองเสื่อมผู้หนึ่งให้กับน้องชายตนเอง แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มสุรามาอย่างหนักก็คงจะเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งความคิดที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ไม่แน่ว่าน้องชายท่านหญิงผู้นี้อาจจะเป็นคนป่วยหนักใกล้ตาย จึงอยากจะขอหญิงสักคนกลับไปแต่งงานเสริมมงคล ถึงแม้ท่านหญิงจะเป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ สวามีก็เป็นถึงขุนนางขั้นโหวที่มีอำนาจล้นฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ น้องชายที่มาพูดทาบทามด้วยก็เป็นขุนพลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ แต่การจะขอบุตรสาวของนางกลับไปย่ำยี นางที่เป็นมารดาไม่ยอมเด็ดขาด! แต่จะไล่ออกจากบ้านไปเหมือนแม่สื่อคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องพูดจาขอบคุณความหวังดีของท่านหญิงโดยอ้อม…
ถามจบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ในใจลอบคิดว่าอีกครู่จะปฏิเสธอย่างไร
ท่านหญิงไหวอินได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเช่นนี้ จึงได้รู้ว่านางไม่รู้เลยว่าคนที่มาทาบทามสู่ขอเป็นผู้ใด เห็นได้ว่าไม่ได้ดูดวงชะตาชื่อแซ่ในเทียบเยือนนั้นเลย ท่าทีขอไปทีเช่นนี้ทำให้ท่านหญิงไม่พอใจยิ่ง แต่สายตาเย็นชาของน้องชายส่งมาอีกครั้ง นางจึงจำต้องพูดต่อไปด้วยสีหน้ายินดี “น้องชายข้าผู้นี้ก็อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วอย่างไรเล่า คนที่มาทาบทามสู่ขอก็คือน้องชายของข้าฉู่จิ้งเฟิง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลั้นไม่ไหว น้ำในปากพ่นพรวดออกมา สำลักน้ำไอติดต่อกันหลายที…
หล่งเซียงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่ายามนี้คุณหนูรองจะอยู่นิ่งอย่างดี แต่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองที่กลับทำขายหน้าก่อน จึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อีกฝ่ายมือเป็นพัลวัน พลางช่วยลูบหลังให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
องค์หญิงไหวอินไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้ของนางจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงนั่งนิ่งรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปรับลมหายใจ
ไม่อาจโทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำขายหน้า แต่ตีให้ตายนางก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มาทาบทามจะนั่งอยู่ในโถงรับแขกคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยตนเอง
คนที่อยากแต่งงานกับบุตรสาวคือผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่หรือ แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มยากล่อมประสาทยังพูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้ออกมาไม่ได้เลย!
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำอะไรไม่ถูกนี้เอง ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากตอบคำถามของนาง “ข้าปีนี้อายุยี่สิบห้า สุขภาพนับว่าแข็งแรง ไม่เคยแต่งภรรยา ที่บ้านก็ไม่มีอนุ ข้าชื่นชมคุณหนูรองหลี่มาตลอด แต่เสียดายที่นางได้หมั้นหมายไว้ก่อน เดิมคิดว่าต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองหลี่จะถอนหมั้น จึงได้ตั้งใจมาทาบทามสู่ขอ ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อุ้มสมด้วย เช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่”
คำพูดนี้พูดอย่างจริงใจ แต่หากเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนอื่นพูดประกอบด้วยท่าทางขวยเขิน คงจะให้ความรู้สึกลึกซึ้งเข้ากระดูกได้เพิ่มขึ้นหลายส่วน
ทว่าน่าเสียดายผู้ที่พูดในตอนนี้กลับเป็นฉู่จิ้งเฟิง ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาราวกับเทพพิฆาตอย่างนั้น ดวงตาหางคิ้วไม่ขยับแม้แต่น้อย เอ่ยชื่นชมคุณหนูรองหลี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พูดจบก็บีบถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อีกว่ายังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่
ถึงแม้น้ำเสียงจะนับว่านอบน้อม แต่มองดูใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ บีบจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกอ้าปากไม่ขึ้น ทำได้เพียงมองไปยังท่านหญิงไหวอินอย่างหาคนช่วย
แท้จริงแล้วท่านหญิงไหวอินก็เข้าใจความรู้สึกของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บางครั้งนางก็ถูกความเย็นเยือกราวน้ำแข็งของน้องชายบีบคั้นจนหายใจไม่ออก ไม่เช่นนั้นวันนี้นางคงไม่รีบเดินทางจากเมืองซูเฉิงมาที่นี่เพื่อทาบทามสู่ขอด้วยตนเองเพราะน้องชายเอ่ยปากขอร้องหรอก