ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่สาม-บทที่สี่
ท่านหญิงไหวอินจึงเอ่ยปากด้วยความเข้าใจแก้สถานการณ์ได้ทันเวลา “ท่านแม่ของข้ากับท่านแม่ของจิ้งเฟิงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ท่านน้าของข้าจากโลกไปเร็ว ท่านพ่อของจิ้งเฟิงก็เสียไปตอนที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ก็ต้องให้ข้าที่เป็นพี่สาวคนโตช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานให้เขา แต่จิ้งเฟิงเป็นคนตาสูง ไม่มีผู้ใดเข้าตาสักคน ตอนนี้หาได้ยากที่มาหมายตาคุณหนูรองของท่าน เพราะคุณหนูรองกำลังป่วยอยู่ จิ้งเฟิงกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเคลือบแคลงความจริงใจของสกุลฉู่ จึงเอ่ยปากให้ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นแม่สื่อ แสดงความจริงใจของพวกเรา ถ้ามีสิ่งใดไม่ควร ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”
คำพูดปฏิเสธที่เตรียมมาอย่างดีของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย
หากดูแค่ตัวฉู่จิ้งเฟิง เรื่องชาติกำเนิดที่ดีไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ยังเป็นถึงซือหม่าในราชสำนัก กุมอำนาจสำคัญเอาไว้ หากมองข้ามผมขาวเต็มหัวตั้งแต่อายุน้อยนั้นไป ก็นับเป็นคนมีความสามารถ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนสูงศักดิ์ระดับนี้กลับยังไม่มีภรรยาเอกไม่มีอนุ ช่างเป็นของล้ำค่าในโลกมนุษย์จริงๆ…
แต่เพราะเป็นบุคคลระดับนี้มีดีทุกอย่างจนไม่อาจหาที่ดีกว่านี้ได้แล้ว จึงยิ่งทำให้เกิดความสงสัย
มังกรในหมู่คนเช่นนี้ เหตุใดจึงได้อยากจะแต่งงานกับบุตรสาวโง่เขลาของนาง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเองที่เป็นคนสั่งให้จับตัวหลี่รั่วอวี๋ไปด้วย!
คิดถึงข่าวลือที่บุตรสาวคนรองกับซือหม่าผู้นี้มีความบาดหมางกัน ความจริงใจในการมาทาบทามสู่ขอครั้งนี้จึงกลายเป็นเหมือนหลุมพรางลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าสมองของตนเองที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังมากว่าครึ่งชีวิตราวกับมีน้ำจากแม่น้ำไหลทะลักเข้ามาทำให้สับสนวุ่นวายไปในชั่วพริบตา จิตใต้สำนึกบอกว่าจะรับการแต่งงานที่อาจถึงแก่ชีวิตนี้ไม่ได้ แต่หากปฏิเสธ ก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม…
ภายใต้สายตาเย็นชาของซือหม่าผู้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใคร่ครวญคำพูดของเขาเมื่อครู่อีกรอบ ที่สุดก็หา ‘จุดด่างพร้อย’ ที่เหมาะสมได้แล้ว จึงเอ่ยปากพูดว่า “ยากนักจะสามารถได้รับความรักจากซือหม่า แต่ว่าบุตรสาวข้าอายุยังน้อย ไม่ค่อยเหมาะสมกับอายุของใต้เท้า”
ความหมายของคำพูดนี้ ก็คือรังเกียจที่ฉู่จิ้งเฟิงอายุมากไปหน่อย ท่านหญิงไหวอินได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อระเบิดอารมณ์ไม่ได้ จึงถอนใจแล้วพูดว่า “เป็นเพราะสีผม ทำให้จิ้งเฟิงดูอายุมาก จะว่าไปแล้ว เป็นความผิดของโจรชั่วหยวนซู่นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นจิ้งเฟิงขนส่งสัมภาระการทหารไม่ทันเวลา… ร้อนใจจะรีบฝ่าวงล้อม ก็คงไม่เอาตัวเข้าเสี่ยงจนถูกพิษประหลาด ทำให้ผมกลายเป็นสีเงินทั้งหัว…”
ได้ฟังคำพูดท่อนนี้ของท่านหญิงไหวอินแล้ว สมองของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จากคลื่นลมสงบก็พลันเปลี่ยนเป็นใต้ก้นราวกับมีถ่านไฟลุกโชนยากจะนั่งได้ติด คนที่ขนส่งสัมภาระการทหารคือขบวนสินค้าของสกุลหลี่ จากความหมายในคำพูดของท่านหญิงไหวอิน ซือหม่าผู้นี้สูญเสียความเยาว์ก็ต้องให้สกุลหลี่รับผิดชอบ หากเอาข้อนี้ไปปฏิเสธการทาบทามสู่ขอก็คงพูดได้ยาก!
เหนื่อยใจราวฝ่าน้ำฝ่าไฟเช่นนี้ เหมือนจะเอาชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จริงๆ นางทำได้เพียงนั่งยิ้มแห้งอยู่บนเก้าอี้ แล้วมองไปทางบุตรสาวคนรองที่นั่งอยู่ข้างกายตามความเคยชิน
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์ยากจะตัดสินใจได้แบบนี้ ขอเพียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ นางก็จะรีบแบกรับหน้าที่ไปทันที ไม่ปล่อยให้ตนต้องกลัดกลุ้มใจแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้บุตรสาวที่เคยฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งกลับเอนตัวไปพาดกับโต๊ะชาด้านข้างอย่างเกียจคร้าน ราวกับกระดูกในร่างหายไป ก่อนจะแลบลิ้นแผล็บๆ ไปเลียน้ำในถ้วยชา
หล่งเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างทนดูไม่ไหว กระตุกแขนเสื้อของหลี่รั่วอวี๋ทันที
ยามนั้นเองหลี่รั่วอวี๋ก็ใช้ปากคาบลูกบ๊วยในถ้วยแล้วยืดตัวตรง จากนั้นจึงห่อปากเล็กแดงและออกแรงพ่นลูกบ๊วยนั้นไปตกลงบนตัวซือหม่าเข้าอย่างพอดิบพอดี
คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ราวกับสมองมีน้ำทะลัก ที่ก้นมีไฟลน น้ำไฟโจมตีเข้ามาพร้อมกัน จึงรีบเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา “เหตุใดจึงไม่มีมารยาทเช่นนี้”
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีเล่นอยู่ดีๆ พอถูกท่านแม่ดึงตัวเช่นนี้ ขอบตาก็แดงเรื่อทันที
ในตอนนั้นเอง ฉู่จิ้งเฟิงก็ยืนขึ้นและพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่า “ไม่เป็นไร อย่าตำหนิคุณหนูรองเลย วันนี้พาพี่สาวมาก็เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ถ้าไม่ได้แต่งกับคุณหนูรอง ข้าคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิตแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ ให้ผ่านไปอีกสักหลายวันค่อยปรึกษากันอีกที วันนี้นำของขวัญจำนวนหนึ่งมาให้ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะยินดีรับไว้”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตอบ กล่าวลาและเดินออกประตูใหญ่ไป
ท่านหญิงไหวอินก็กล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เช่นกัน ก่อนจะถูกส่งไปนอกคฤหาสน์อย่างนอบน้อม
หลังขึ้นรถม้าและออกเดินทางมาครู่หนึ่ง ท่านหญิงไหวอินจึงพลิกเปิดม่านรถม้าพลางพูดกับน้องชายที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง “เดิมคิดว่าสกุลหลี่นั่นต้องตอบตกลงแน่นอนจึงได้ยอมมาพร้อมกับเจ้า ไม่คิดว่าเกือบจะถูกปฏิเสธฉีกหน้ากลับมา จิ้งเฟิง เจ้าอยากจะแต่งหญิงสมองเสื่อมผู้นั้นเป็นภรรยาจริงหรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิต จะทำเป็นเล่นแบบเด็กๆ ไม่ได้นะ!”
น้องชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้ตอบคำ ท่าทางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นเป็นคำตอบว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไม่จำเป็นต้องสงสัย
ท่านหญิงไหวอินทำอะไรน้องชายผู้นี้ไม่ได้ จึงถอนหายใจแล้วปล่อยม่านรถลง
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลง จับเชือกบังคับด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งบีบคลึงลูกบ๊วยที่ถูกแช่น้ำไว้จนกลม
นี่เป็นลูกบ๊วยที่หลี่รั่วอวี๋พ่นออกมาเมื่อครู่ เขาวางมันไว้กลางริมฝีปากบาง ก่อนจะบดเบาๆ ลูกบ๊วยที่แช่น้ำชาจนบวมเป่งกัดผิวนอกออกแล้วก็สามารถดูดกินน้ำรสเปรี้ยวๆ ข้างในได้ รสชาตินั้นโลดแล่นอยู่ระหว่างริมฝีปากกับฟัน ราวกับว่าลิ้นเล็กที่เคยชิมก่อนหน้านี้ยังเกี่ยววนอยู่กับเขา…
วันนี้มาถึงบ้านแต่กลับเกือบถูกปฏิเสธ ทว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว จึงได้ขอตัวกลับก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้นั้น แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงที่ฉลาดเฉลียวอะไร หากถูกแม่สื่อฝีปากดีคนใดมาทำให้เผลอตกปากรับคำ เช่นนั้นลูกบ๊วยที่เขาหมายปองมานานเม็ดนั้นไม่ต้องตกไปอยู่ในปากของผู้อื่นหรือ
จุดประสงค์การมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อกอดสาวงามกลับไปในคราเดียว ที่เขาเลือกใช้ขบวนรถม้าหรูหราในการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อประกาศให้แม่สื่อที่มารบกวนนางไม่หยุดรู้ว่าคุณหนูรองสกุลหลี่ถูกซือหม่าแห่งต้าฉู่หมายตาไว้แล้ว ผู้อื่นอย่าได้มารบกวนอีก!
สำหรับเรื่องราวขั้นต่อไปนั้น ฉู่จิ้งเฟิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว หญิงที่เดิมทีคิดว่าชาตินี้คงต้องปล่อยมือไปด้วยความเสียใจ แต่นางบุกมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง เช่นนั้นก็โทษเขาไม่ได้ที่จะ…
คิดถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ออกแรงกลืนลูกบ๊วยในปากลงไป ลูกกระเดือกที่คอขยับขึ้นลงเล็กน้อย
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 62)