บทที่ห้า
ข่าวฉู่ซือหม่านำท่านหญิงไหวอินมาทาบทามสู่ขอคุณหนูรองหลี่ถึงบ้านนี้ลือกันไปอย่างดุเดือดและรวดเร็วยิ่ง เวลาในการนั่งคุยกันหลังอาหารของชาวเมืองเหลียวเฉิงลากยาวขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มแตงดอง แค่หัวข้อที่ว่าบุตรสาวสมองเสื่อมของสกุลหลี่ทาบทามสู่ขอได้ยากก็เพียงพอจะกินข้าวได้สามชามแล้ว
น่าเสียดายที่ใช่ว่าอาหารเย็นของทุกบ้านจะสำราญเช่นนี้ เพราะบนโต๊ะอาหารคฤหาสน์สกุลเสิ่นดูเคร่งเครียดอย่างมาก
หลังเทชากวนอินหนึ่งถ้วยแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็วางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเสิ่นหรูป๋อที่ไม่ขยับตะเกียบเลย ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่ อาหารไม่ถูกปากหรือ จะให้ทางครัวทำหมูสับผัดเต้าหู้ยี้มาราดข้าวดีหรือไม่”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองนาง เพียงแค่วางตะเกียบไม้ดำสลักลายลงบนที่วางตะเกียบ แล้วบอกฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นว่ากินอิ่มแล้วขอตัวก่อน จากนั้นก็ลุกออกจากโถงอาหารไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเหลือบมองหลี่เสวียนเอ๋อร์อย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง ลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่มีจุดใดเป็นที่น่าพอใจเลย คนเป็นเจ้าบ่าวหลังจากแต่งงานแล้วต้องมีหน้าตาชื่นบานไม่ใช่หรือ เหตุใดบุตรชายของตนจึงดูไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย
หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ก่อนแต่งเข้ามาก็ตั้งท้องมาก่อน เพื่อดูแลครรภ์ แม้แต่ในคืนแต่งงานบุตรชายก็ยังต้องไปอยู่ที่ห้องหนังสือ ตอนนี้มีข่าวลือว่าหญิงสมองเสื่อมถูกซือหม่าหมายตา สีหน้าของบุตรชายก็ยิ่งเคร่งเครียด…
คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นจึงขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าก็อย่ากินเลย รีบไปดูหรูป๋อ คนเป็นภรรยา ต้องปลอบให้สามีเบิกบานใจจึงจะถูก…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์วางชามกับตะเกียบลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หลังย่อตัวคำนับฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นแล้วก็ตรงไปที่ห้องหนังสือ
ยามนี้นางเป็นคนที่ไม่มีความสุขที่สุดในสกุลเสิ่น แม้ตัวจะอยู่ในคฤหาสน์ แต่นางรู้ข่าวลือภายนอกของนางจากปากของสาวใช้ เดิมทีควรจะได้แต่งงานแทนพี่รองอย่างสมเกียรติ แต่กลับกลายเป็นในท้องมีเลือดชั่ว สกุลเสิ่นจำยอมทิ้งพี่สาวมาแต่งงานกับน้องสาว
แต่ทั้งหมดนี้นางล้วนไม่สนใจ นางรักเสิ่นหรูป๋อด้วยใจจริง ทว่าหลังจากเสิ่นหรูป๋อรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นั้นไปทาบทามสู่ขออีกฝ่ายถึงบ้านก็ทำตัวผิดแปลกไป สิ่งนี้ทำให้ในใจของนางมีไฟหึงหวงลุกโชน
หลังผลักเปิดประตูห้อง เดิมคิดว่าจะเห็นเสิ่นหรูป๋อหน้าตาโกรธเกรี้ยวท่าทางเศร้าสลด คิดไม่ถึงว่าเขากลับนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือดูภาพผังเรือรบที่นางวาด ท่าทางตั้งใจนั้น…ดูสง่างามยิ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์เข้ามา จึงพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาพอดีเลย เรือรบนี้มีจุดหนึ่งดูเหมือนไม่สมบูรณ์ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ดูภาพผังที่รั่วอวี๋วาด ตรงกระดูกงูเรือใหญ่นางมักจะออกแบบโครงแนวขวางไว้หลายท่อน…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ตอนนี้ในใจไม่อยากได้ยินชื่อหลี่รั่วอวี๋ที่สุด แต่ไม่อาจแสดงออกทางใบหน้าได้
“พี่รองมักจะชอบเติมของแปลกใหม่ แต่ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ สกุลหลี่ของพวกเราไม่มีส่วนประกอบนั้น ตามภาพตัวอย่างที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ ไม่มีทางผิดหรอก… หรูป๋อ ท่านกำลังไม่สบายใจหรือ สาเหตุมาจากซือหม่านั่นไปสู่ขอพี่รองใช่หรือไม่”
มือใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อที่ถือพู่กันบีบแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “แค่พักนี้มีงานยุ่งเหนื่อยไปบ้าง ตอนนี้เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เจ้ากับลูกในท้องย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจข้า แต่ฉู่ซือหม่าทำไมมาทาบทามสู่ขอได้ หรือคิดว่าเมื่อใดพี่รองของเจ้ากลับฟื้นเป็นปกติ เขาจะได้เคล็ดวิชาสกุลหลี่กระมัง”
ในดวงตาหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉายความว้าวุ่น แม้นางจะจำเคล็ดวิชาได้แม่นยำ แต่หากพี่รองสมองกลับมาเป็นปกติจริง และได้ที่พึ่งอย่างฉู่ซือหม่า ด้วยความฉลาดของพี่รองจะมีวันที่นางจะได้เชิดหน้าชูตาได้อย่างไร
นางคิดสักครู่จึงพูดขึ้นว่า “คงเป็นไปไม่ได้ ลี่จือสาวใช้ข้างกายข้ากับหลี่ฝูคนใช้แรงงานในเรือนหลังคฤหาสน์สกุลหลี่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้ว่าลี่จือจะย้ายมาที่นี่พร้อมกับข้าตอนแต่งงาน แต่พวกเขาปกติก็ได้เจอกันพูดคุยกันที่ตลาด ได้ยินหลี่ฝูบอกว่าวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้รับปากเรื่องการแต่งงาน และคุณหนูรองหลี่ยังพ่นลูกบ๊วยในถ้วยชาใส่ซือหม่าต่อหน้าท่านหญิงอีกด้วย…”
เสิ่นหรูป๋อแววตาสั่นไหว พลางพูดด้วยเสียงเข้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขายังดื้อดึงจะแต่งงานกับรั่วอวี๋อีก”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง
เพราะข่าวลือเรื่องการทาบทามสู่ขอของซือหม่า เจ้าหนี้ที่ไปตามทวงหนี้เหล่านั้นจึงเพลาลง อย่างไรเสียหากซือหม่าแต่งกับคุณหนูรองหลี่ อำนาจบารมีเบื้องหลังสกุลฉู่จะล่วงเกินไม่ได้