ในที่สุดเรือใหญ่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วันก็เข้าเขตเมืองโม่เหอ ก่อนจะเดินทางด้วยรถม้าต่ออีกสี่ชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงเขตพื้นที่ของฉู่จิ้งเฟิง
ตอนนี้อำนาจฮ่องเต้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น ผู้มีอำนาจแต่ละพื้นที่แย่งกันขยายอำนาจ การไม่ยอมมอบเสบียงส่งเครื่องบรรณาการนานหลายปีกลายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงในมือมีอาณาเขตมีอำนาจทหาร ก็เป็นผู้นำในเขตพื้นที่นี้ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เมืองหลวงก็ทำอะไรไม่ได้
อาณาเขตของฉู่จิ้งเฟิงกว้างขวางยิ่ง แม้อากาศทางเหนือจะไม่มีสี่ฤดูเหมือนทางใต้ แต่พื้นดินดีให้พืชผลในหนึ่งปีได้อย่างอุดมสมบูรณ์เช่นกัน แต่เมืองโม่เหอค่อนข้างห่างไกล ชาวเมืองในเขตมีไม่มาก ฉู่จิ้งเฟิงมองการณ์ไกล รู้ดีว่าหากเกิดสงครามขึ้น จะรอให้แดนไกลส่งเสบียงมาช่วยไม่ได้ จึงส่งเสริมให้ชาวเมืองบุกเบิกที่รกร้าง ขอเพียงบุกเบิกที่รกร้างเองและบริจาคเสบียงให้ทุกปีก็สามารถไปแจ้งที่จวนซือหม่าให้ออกโฉนด ไร่นานั้นก็จะตกเป็นของคนผู้นั้นทันที
ชาวเมืองจำนวนมากที่ระหกระเหินมาจากนอกเขตเพราะสงครามจึงหลั่งไหลมาที่เมืองโม่เหอ เพราะวิธีการบุกเบิกที่รกร้างนี้ ทำให้เมืองโม่เหอกลายเป็นเขตเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางเหนือภายในพริบตา
เพราะเอาชนะสงครามกับหยวนซู่ได้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย แม้จะถูกสกุลไป๋หน้าด้านไร้ยางอายบังคับยึดไปจำนวนหนึ่ง แต่ที่ดินส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฉู่จิ้งเฟิง
นายท่านไปทางใต้เป็นเวลานาน หลังจากกลับมายังพาฮูหยินที่เพิ่งแต่งใหม่จากทางใต้กลับมาด้วย ร้านรวงสองฟากถนนในเมืองจึงต่างพากันทำความสะอาดถนน แขวนโคมไฟแดงและติดป้ายอักษรแดงต้อนรับนายหญิงที่แต่งกลับมาจากทางใต้
หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ในรถม้าลอบมองออกมาข้างนอก รู้สึกว่าภาพสีแดงละลานตาและกลุ่มคนหัวดำที่พากันโห่ร้องพานให้เห็นแล้วใจสั่น
พอไปถึงจวนซือหม่า พ่อบ้านฉู่จงมายืนรอยิ้มยินดีรอรับซือหม่าพร้อมฮูหยินกลับจวนที่ประตูอยู่นานแล้ว
แม้จะไม่เคยเห็นฮูหยินซือหม่ามาก่อน แต่ฉู่จงรู้ว่าฮูหยินผู้นี้ต้องได้รับความรักจากใต้เท้าอย่างมาก ก่อนเข้าพิธีแต่งงานจึงสั่งให้คนส่งภาพตัวอย่างมาให้ ให้สร้างจวนซือหม่าใหม่ตามแบบสวนป่าเจียงหนาน ตอนนี้เรือนใหม่เริ่มลงมือสร้างแล้ว คาดว่าปีหน้าก็สามารถเข้าอยู่ได้
เขายังตั้งใจตกแต่งห้องนอนเดิมของซือหม่าเสียใหม่ ไม่รู้ว่าฮูหยินใหม่ผู้นี้จะชอบหรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงกลับรู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เพราะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปในที่ใหม่ จะกระวนกระวายไม่สบายใจไม่สดชื่นอยู่บ้าง จึงไปประคองนางลงจากรถม้าด้วยตนเอง
แล้วก็เป็นจริงดังคาด พอพลิกเปิดม่านรถ เขาก็เห็นนางขดตัวอยู่ที่มุมรถม้า คิดว่าคงถูกเสียงกลุ่มคนโห่ร้องเมื่อครู่ทำให้ตกใจ หลังจากพูดกล่อมอย่างอดทนแล้วในที่สุดนางจึงขยับตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ฉู่จิ้งเฟิงจึงอุ้มนางลงจากรถม้า แล้วก้าวยาวเข้าไปในจวน
พวกกวนป้าคุ้นเคยเรื่องเช่นนี้แล้ว แต่พวกบ่าวไพร่ในจวนซือหม่าทุกคนกลับเบิกตาโตอย่างตกใจ พูดอะไรไม่ออก
คนที่เสียงพูดอ่อนโยนราวกับพูดกล่อมเด็กเมื่อครู่ที่ว่า ‘เชื่อฟังนะ รั่วอวี๋คนดี…’ คือท่านซือหม่าผู้เยือกเย็นราวน้ำแข็งและไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีของพวกเขาจริงหรือ
เพราะกลัวว่าหลี่รั่วอวี๋จะกลัวคนแปลกหน้า หลังจากเข้าจวนซือหม่า สาวใช้ที่ปรนนิบัติใกล้ชิดนางยังเป็นคนที่พามาจากทางใต้ ฉู่จิ้งเฟิงถูกหญิงสาวผู้นี้หล่อหลอมจนจิตใจละเอียดอ่อนขึ้นมาก กลัวว่าหากนางไม่คุ้นเคย อาจจะกลัดกลุ้มจนป่วยเหมือนในครั้งก่อน
ในคืนวันนั้น เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องหนังสือ แต่นอนเป็นเพื่อนหลี่รั่วอวี๋ในห้องนอนหนึ่งคืน
แต่ในคืนนี้กลับทรมานใจคน เพราะมาอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคยหลี่รั่วอวี๋จึงติดเขาเป็นพิเศษ กอปรกับเคยชินกับการจูบของเขา จึงขยับเข้าอ้อมกอดของเขาเอง แล้วแลบลิ้นเล็กออกมาเล่นพิเรนทร์
ปลุกปั่นจนไฟในกายชายหนุ่มลุกโชน จูบปากเล็กนั้นจนบวมแดงราวกับทาสีชาดจึงยอมปล่อย แต่พอเขาคิดจะปลดปล่อย คนตัวน้อยผู้นี้เล่นจนเหนื่อยแล้วกลับพลิกตัวนอนหลับไปไม่รู้ตัว
ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงหลับตาลง ดมกลิ่นหอมสดชื่นจากร่างหญิงสาวข้างกาย พยายามสะกดความคับแน่นตรงหว่างขานั้น…
ตอนอยู่ที่เมืองวั่นโจว ฉู่จิ้งเฟิงส่งคนไปสืบเรื่องการได้รับบาดเจ็บของหลี่รั่วอวี๋ แต่คนที่ส่งไปผ่านไปหลายวันจึงกลับมารายงาน ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้เรื่องอะไรเลย รู้เพียงว่าหลงจู๊เฝิงที่หลี่รั่วอวี๋พูดถึงในจดหมายเกิดอุบัติเหตุตกเรือตายเพราะเมา ตอนนั้นคนหลายคนที่ติดตามไปด้วย บ้างก็ตายด้วยโรคฉับพลัน บ้างก็ถูกโจรจับตัวไปไร้ร่องรอย…