ตอนฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังข่าวเหล่านี้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น ความบังเอิญมากมายมารวมกันก็ไม่เหมือนเป็นความบังเอิญแล้ว หลี่รั่วอวี๋ตอนนั้นเจอเรื่องราวอะไรกันแน่ ตอนที่นางหลบรักษาบาดแผลกับฉู่หวั่นเหนียงในหอซิ่วชุนเป็นการหลบเลี่ยงประกาศจับจากเขา หรือว่า…หลบเลี่ยงอันตรายอย่างอื่น!
แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างไม่มีหลักฐาน หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อม มีทางเดียวคือสอบถามความจากปากของฉู่หวั่นเหนียง
แต่ฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้จงรักภักดีต่อหลี่รั่วอวี๋ และเห็นเขาเป็นศัตรู ทำอย่างไรจึงจะง้างปากของฉู่หวั่นเหนียงได้
มาถึงเมืองโม่เหอวันที่ห้า ฉู่หวั่นเหนียงที่ถูกคุมขังมาตลอดในที่สุดก็ถูกพ่อบ้านปล่อยตัวออกมา และถูกนำตัวมาที่สวนดอกไม้ในลานด้านหลัง
สกุลฉู่เป็นสกุลข้าหลวงมาหลายรุ่น รุ่นทวดได้แต่งงานกับองค์หญิงของอดีตฮ่องเต้ หลังจากนั้นหลายรุ่น จึงเชื่อมสัมพันธ์การแต่งงานกับราชวงศ์และสกุลสูงศักดิ์ ความแข็งแกร่งของสกุลไม่สามารถบรรยายได้เลย ฉู่หวั่นเหนียงก็นับว่ามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา แต่ตกไปอยู่ในหอคณิกา รู้จักคนในคฤหาสน์ต่างๆ มากมาย แต่ตอนเดินอยู่ในเรือนที่เรียบง่ายแต่ไม่ขาดความประณีตแห่งนี้แล้ว กลับสามารถสัมผัสได้ถึงรากฐานของสกุลฉู่ก็รู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นที่พลั้งปากพูดไปในวันนั้น
แต่ที่นางกังวลใจที่สุดคือหลี่รั่วอวี๋ เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่ดูร้ายกาจผู้นั้นหลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ จึงฉวยโอกาสตอนนางสมองเสื่อม บังคับเอานางมาเป็นของเล่น
ตอนเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่รั่วอวี๋สวมชุดกระโปรงสีขาวนวลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ตะโกนขึ้นไปข้างบนอย่างเบิกบานใจ “พี่ฉู่ ข้าอยากได้ไข่นกที่ใหญ่ที่สุดนั่น!”
ส่วนฉู่จิ้งเฟิงที่ดูมีบารมีเคร่งขรึมผู้นั้น สวมเสื้อแขนสั้นกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่ว เขี่ยรังนกอย่างตั้งใจ
ความสามารถที่ฝึกเพื่อฆ่าศัตรูในสนามรบเอามาใช้ในการเขี่ยรังนกทำได้อย่างง่ายดาย ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงยกเอารังนกลอยตัวลงมาจากบนต้นไม้ หญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นไม้ตื่นเต้นมองด้วยสายตานับถือ เขาก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง หลังจากยื่นรังนกให้หลี่รั่วอวี๋แล้วก็ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ยื่นมาให้เช็ดมือทั้งสองข้าง กิริยาท่าทางฉายความสง่างาม ราวกับเมื่อครู่เหมือนเพียงแค่เดินเข้าไปหยิบยาทิพย์หลายเม็ดในตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้ ยากจะเกิดความรู้สึกว่าฉู่จิ้งเฟิงแท้จริงแล้วก็มีความไร้เดียงสาอยู่มาก
ในศาลากลางสวนดอกไม้วางเตาถ่านเล็กไว้เตาหนึ่ง บนนั้นวางแผ่นเหล็กทาน้ำมันเอาไว้ ด้านข้างเป็นเนื้อสดหลากสี ยังมีต้นหอมกับหัวไช้เท้าหั่นเป็นแว่นอีกด้วย เห็นทีฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้จะว่าง อยากทำเนื้อย่างในสวนดอกไม้
หลังจากเช็ดสองมือเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงนำหญิงสาวเอาไข่ที่เพิ่งเก็บลงมาตอกลงบนแผ่นเหล็ก จากนั้นก็วางเนื้อสดย่างไปพร้อมกัน ไม่นานไข่ผสมเนื้อที่โรยเกลือก็ส่งกลิ่นหอม
ส่วนหลี่รั่วอวี๋ที่มีความอยากเหมือนลูกสุนัขดวงตาเบิกโต มองดูฉู่จิ้งเฟิงใช้ไม้ไผ่คีบพลิกอาหารน่ากินนั้นไม่วางตา
ตอนที่พ่อบ้านพาฉู่หวั่นเหนียงเดินอ้อมระเบียงทางเดินยาวมาถึงศาลาพักร้อน ฉู่จิ้งเฟิงจึงช้อนตาขึ้นมองไปทางที่นั่งว่างด้านข้างแล้วพูดว่า “แม่นางฉู่หลายวันมานี้กินไม่ค่อยลง มาร่วมดื่มด้วยกันดีหรือไม่”
ฉู่หวั่นเหนียงมองดูหญิงสาวที่ยื่นหน้าเข้าไปในถ้วย จึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วยกชายกระโปรงนั่งลงข้างโต๊ะ
“คุณหนูรองหลี่ ท่าน…จำหวั่นเหนียงได้หรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋เห็นฉู่หวั่นเหนียงพูดกับตนเองก็เลียน้ำมันที่ริมฝีปาก จากนั้นดึงปลายลิ้นกลับแล้วพูดว่า “พี่คือพี่สาวที่ดื่มน้ำได้น่าดูมาก รั่วอวี๋จะเป็นเหมือนพี่…”
นางพูดพลางหยิบน้ำแกงบ๊วยที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเลียนแบบท่าทางการแสดงศิลปะการชงชาของฉู่หวั่นเหนียงที่นางเห็นในวันนั้นอย่างดี ดื่มอย่างช้าๆ หนึ่งอึก
ฉู่หวั่นเหนียงเดิมทียังไม่เชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อม วันนี้เห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้จึงเชื่ออย่างเต็มที่ ดวงตาก็ร้อนผ่าว จ้องฉู่จิ้งเฟิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ในใจคิดว่า… นี่เขาใช้วิธีเลวร้ายอะไรจึงทรมานหลี่รั่วอวี๋จนเป็นเช่นนี้
ฉู่จิ้งเฟิงพูดเสียงเข้ม “วันนั้นรั่วอวี๋มาหาข้าที่ในค่าย ข้าไม่ได้กล่าวโทษนาง นางส่งมอบสัมภาระการทหารก็กลับไปบ้านเกิดที่เมืองเหลียวเฉิง จากนั้นก็บาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุ ตอนที่ข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลียวเฉิง พอดีสกุลของนางกับสกุลเสิ่นถอนหมั้นกัน ดังนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายขอดองกับสกุลหลี่ รับรั่วอวี๋เป็นภรรยา ขอแม่นางฉู่อย่าได้มีใจเป็นศัตรูกับข้าเลย”