ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่เจ็ด-บทที่แปด
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย็นชา แต่คนเช่นนี้หากยอมเอ่ยปากอธิบาย ก็นับว่ามีน้ำหนักในการพูดกล่อมได้
ฉู่หวั่นเหนียงคิดเชื่อมไปถึงภาพแผ่นป้ายแดงสองข้างทางตอนเข้าเมืองในวันนั้น ชาวเมืองพากันมาแสดงความยินดีในการแต่งงานของซือหม่า เห็นทีคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้โกหก
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นท่าทางฉู่หวั่นเหนียงคลายลง และรู้ว่านางฟังเข้าหูไปหลายส่วนจึงพูดอีกว่า “เมื่อก่อนความไม่เข้าใจระหว่างข้ากับรั่วอวี๋สามารถลบให้หมดได้ เพราะตอนนี้นางเป็นภรรยารักของข้าแล้ว แม้นางจะเคยทำร้ายข้า ข้าก็ยินดี แต่ถ้าคนอื่นคิดจะทำร้ายนาง ข้าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นถ้าแม่นางฉู่สนิทสนมกับฮูหยินข้าจริง ขออย่าได้เก็บเงียบ เล่าเรื่องการถูกลอบทำร้ายของนางในครั้งนั้นให้ข้าฟังให้หมด”
ตอนนี้ตัวอยู่เรือนด้านหลัง ทุกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ ภายในศาลาก็มีถ้วยจานวางเรียง สุราหอมยั่วใจ เดิมควรเป็นเรื่องที่สบายอารมณ์ เขาพูดพลางใช้มีดสั้นคมกริบหั่นเนื้อแพะชิ้นใหญ่ การลงมีดเร็วและแม่นยำ เนื้อแดงสดถูกหั่นเป็นชิ้นบางเล็ก พูดถึงตอนนี้เขาก็ช้อนดวงตาลึกล้ำคู่นั้นขึ้นแล้วกล่าวทีละคำ “ถ้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ จะจับตัวมาฆ่าทิ้งแน่นอน!”
ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแน่น ในช่วงที่เหม่อนั้นเอง กลับเหมือนเห็นดวงตาของเขามีประกายสีแดงราวกับพญามัจจุราชแห่งความตาย…
“พี่ฉู่ รั่วอวี๋จะเอาไข่อีก…”
ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ทำตาแป๋วยื่นถ้วยกระเบื้องเข้ามาให้ฉู่จิ้งเฟิงรีบทอดไข่นกหอมฉุยออกมาอีกฟอง
ประกายแดงในดวงตาฉู่จิ้งเฟิงเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาของฉู่หวั่นเหนียง เห็นเพียงชายหนุ่มรูปงามยื่นมือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเปื้อนน้ำมันของหลี่รั่วอวี๋อย่างรักใคร่แล้วพูดว่า “กินช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนเมื่อวานที่รีบกินไป ทำให้ปวดท้อง”
เห็นภาพนี้แล้ว ฉู่หวั่นเหนียงก็นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณหนูรองหลี่ถูกลอบทำร้ายบนเรือระหว่างเดินทางผ่านวั่นโจว เพราะสถานการณ์คับขัน นางจึงให้คนใต้บัญชาขนย้ายสัมภาระการทหาร แอบลอบเข้ามาหลบในหอซิ่วชุนของข้าชั่วคราว เพราะแขกบางคนของหอซิ่วชุนมีนิสัยเลวร้าย ชอบทำให้หญิงในหอได้รับบาดเจ็บ จึงเลี้ยงดูท่านหมอไว้ผู้หนึ่ง ยาสมานแผลล้วนมีพร้อม ไม่เคยออกไปซื้อยาข้างนอก เพื่อหลบเลี่ยงสายตาคนร้ายที่ติดตามมา ข้าเคยถามคุณหนูรองว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่นางกลับบอกว่าคนที่เป็นหัวหน้าโพกหน้าไว้ เห็นเพียงแค่สองตา… ดวงตานั้นพิเศษมาก มันเป็นสีแดง…” พูดถึงตรงนี้ ฉู่หวั่นเหนียงก็จ้องตาของเขาแล้วพูดทีละคำว่า “ก็เหมือนใต้เท้าเมื่อครู่”
ฉู่จิ้งเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงหรี่ตาถามว่า “ในเมื่อแม่นางฉู่สงสัย เหตุใดยังบอกเรื่องนี้กับข้าอีก”
ฉู่หวั่นเหนียงฉีกยิ้มบางๆ หน้าตาดูงดงาม “ข้าน้อยหาเลี้ยงชีวิตในกลุ่มบุรุษ จะมองไม่ออกถึงความรักที่ใต้เท้ามีต่อคุณหนูรองหลี่ได้อย่างไร แม้จะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คือความจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใต้เท้าลงมือกับคุณหนูรองในตอนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ท่านจะหาเรื่องมาตัดโอกาสตัวเองไปเพื่ออะไร คนตาแดงผู้นั้นแม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คาดว่าใต้เท้าคงมีความคิดในใจแล้ว ข้าน้อยเชื่อว่ามีใต้เท้าคอยปกป้อง ต้องคุ้มครองคุณหนูรองได้ ข้าน้อยย่อมบอกท่าน ช่วยใต้เท้าอีกแรง”
ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋จึงสนิทสนมกับยอดบุปผาผู้นี้ แม้นางจะอยู่ในหอคณิกา แต่ประสบการณ์ที่พบเจอมีมากกว่าหญิงสาวในคฤหาสน์ทั่วไป
เขายกจอกสุราในมือขึ้นแล้วเชิญเป็นมารยาท “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณแม่นางฉู่แทนภรรยาของข้า!”
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนที่หากผู้ใดมีคุณต้องตอบแทน จึงเตรียมจะไถ่ตัวแม่นางฉู่ผู้นี้ แล้วหาบ้านให้นางอยู่ในเมืองโม่เหอ
ฉู่หวั่นเหนียงขอบคุณความหวังดีของฉู่ซือหม่าแล้วพูดปฏิเสธโดยอ้อม “คุณหนูรองก็เคยเสนอว่าจะไถ่ตัวข้าน้อย แต่ข้าน้อยมีเรื่องในใจที่ยังสะสางไม่เสร็จ ต้องอยู่ต่อในหอคณิกาอีกระยะหนึ่ง ขอใต้เท้าให้คนส่งข้าน้อยกลับไปที่หอซิ่วชุนก็พอ…”
คนย่อมมีความคิดต่างกัน ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้บังคับ สั่งให้กวนป้าส่งฉู่หวั่นเหนียงกลับไปที่วั่นโจว
ก่อนจากกัน ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกอาลัยอาวรณ์จึงดึงมือหลี่รั่วอวี๋มาแล้วกระซิบพูดกับนางหลายประโยค
หลี่รั่วอวี๋ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พยักหน้าอย่างเป็นมิตร ตอนพูดแสดงความรู้สึกก็พูดได้คล่องขึ้นมาก “พี่สาว…ข้าไปกับพี่ดีหรือไม่ ขนมในหอนั่นอร่อยมาก ได้ยินหล่งเซียงพูดว่า ในหอของพี่ขอเพียงเต้นรำร้องเพลงให้คนดูก็มีข้าวให้กิน”
ฉู่หวั่นเหนียงบอกอารมณ์ไม่ถูก “คุณหนูรอง ต้องอ่านหนังสือเขียนหนังสือให้มากนะ ท่านจะเรียนรู้แต่ศิลปะที่ใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้อย่างไร”
หลี่รั่วอวี๋พยักหน้าอย่างแรง “พี่ฉู่บอกว่า อีกสองสามวันจะพารั่วอวี๋ไปหอเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นรั่วอวี๋ยังสามารถรู้จักสหายร่วมเรียนได้อีกมากมาย…”
คิดว่าสามารถไปหอเรียนเหมือนน้องชายเสียนเอ๋อร์ได้ สองตาของหลี่รั่วอวี๋ก็เปล่งประกายปรารถนาอยากเรียนรู้ออกมา
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะยืนอยู่ไกล แต่หูของเขาดีมาก ย่อมได้ยินถึงความเป็นห่วงของฉู่หวั่นเหนียง และคำพูดไร้เดียงสาที่หลี่รั่วอวี๋บอกว่าจะตามฉู่หวั่นเหนียงเข้าหอซิ่วชุน ใช้ดนตรีร่ายรำขออาหารกิน ในใจก็ไม่ยินดีขึ้นมาทันใด หากไม่ใช่เห็นแก่มิตรภาพของยอดบุปผากับหลี่รั่วอวี๋ และบุญคุณที่ช่วยชีวิตหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องจัดการความไม่ยินดีนั้นไป
หลังจากฉู่หวั่นเหนียงขึ้นรถจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ยังคงโบกผ้าเช็ดหน้าอย่างอาวรณ์
หลายวันมานี้ ฉู่หวั่นเหนียงสอนนางดีดพิณ แม้นางจะดีดไม่เป็นทำนอง แต่เลียนแบบท่าทางการนั่งดีดพิณบนเสื่อของฉู่หวั่นเหนียงก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนงามแล้ว! เมื่ออีกฝ่ายจากไปเช่นนี้ จะมีผู้ใดมาสอนนางดีดพิณอีกเล่า
ฉู่จิ้งเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังตัวนาง พูดเสียงดังว่า “รีบกลับมา!”