หลี่รั่วอวี๋จึงหันไปมองแล้วเดินมาทางเขาอย่างเหงาหงอย
ฉู่จิ้งเฟิงเหลือบตามอง ถามว่า “ไม่ให้กินอาหารก็จะตามคนอื่นไปหรือ ท่านแม่เจ้าไม่เคยสอนเจ้าว่าควรปฏิบัติอย่างไรกับ ‘สามี’ หรือ ต้องอยู่ไม่ห่างกายไปไกล! ข้าเป็นท้องฟ้าของเจ้า! มีเหตุผลอะไรที่จะตามคนอื่นไป”
หลี่รั่วอวี๋งุนงง พูดอย่างอึดอัดว่า “ได้ยินท่านแม่พูดว่า… แต่ง…แต่งงาน สวมเสื้อกินข้าวไม่ต้องกังวล ท่านแม่บอกว่าแต่งงานกับพี่แล้ว พี่จะให้รั่วอวี๋สวมเสื้อผ้าอุ่นๆ กินอาหารจนอิ่ม ถ้าทำไม่ได้ ตอนกลับบ้านเกิดก็แอบไปบอกนาง นางจะหาวิธีรับข้ากลับบ้าน…”
พูดจบนางก็ลอบช้อนตาโตขึ้น เห็น ‘ท้องฟ้า’ ของตนเองเหมือนจะครึ้มอีกแล้ว ท่าทางเหมือนฝนจะตก จึงรีบขยับตัววิ่งออกห่าง
เห็นทีต้องรีบสั่งสอนหลี่รั่วอวี๋แล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ แต่คำว่า ‘สามีเป็นหลัก’ ต้องสลักใส่ใจ แต่จะสอนอย่างไรยังเป็นปัญหา ดังนั้นจึงจะทำตามความคิดเดิม คือเชิญอาจารย์หญิงเข้ามาสอนหนังสือ
แต่หลี่รั่วอวี๋กลับอยากทำเหมือนเสียนเอ๋อร์แบกกล่องหนังสือออกจากบ้านทุกวัน คบหาสหายร่วมเรียนสักกลุ่ม ความปรารถนาเรียบง่ายแบบนี้ยังทำให้ไม่ได้ จะไปเป็นเมฆขาวฟ้าครามของนางได้อย่างไร?
ฉู่จิ้งเฟิงจึงลงทุนเงินก้อนใหญ่ให้กับสำนักศึกษาที่อยู่ใกล้จวนซือหม่ามากที่สุด เพื่อใช้เป็นสำนักศึกษาส่วนตัวของฮูหยินซือหม่า
ในรัชศกนี้สำนักศึกษาสตรีไม่นับเป็นเรื่องแปลก แต่จำกัดสำหรับหญิงอายุน้อยที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น ถึงอายุสิบห้าสิบหกแล้วเป็นเวลาเรียนจบ ต้องเลี้ยงดูอบรมในบ้านเพื่อเตรียมแต่งงานแล้ว
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นหลี่รั่วอวี๋อยู่กับฉู่หวั่นเหนียงหลายวันนี้ สามารถเรียนรู้ได้อย่างดี ไม่ต้องมีผู้ใดคอยดูก็เลียนแบบท่าทางการกระทำของฉู่หวั่นเหนียงเอง ทุกวันตอนดื่มชาจะกรีดนิ้วยกนิ้วชี้ขึ้น เห็นได้ว่าหลี่รั่วอวี๋ใช่ว่าจะเรียนได้ไม่ดี แต่นางเป็นคนชอบเอาชนะ จะไม่ให้คนพูดมาก ต้องหาสหายร่วมเรียนมาจำนวนหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกัน และจะได้ดูความก้าวหน้าของนางได้ด้วย
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เชิญอาจารย์สำนักศึกษามา สั่งให้เขาเขียนประกาศ บอกเพียงว่าจวนซือหม่าตั้งสำนักศึกษาสตรี รับหญิงอายุสิบสองสิบสามปีในเมืองเข้าเรียนเท่านั้น กำหนดว่าต้องมีนิสัยอ่อนโยน กิริยาเหมาะสม ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดใด หากคะแนนสอบเข้าเกณฑ์ก็สามารถเข้าเรียนได้
พอประกาศออกมา บ้านที่มีบุตรสาวอายุเข้าเกณฑ์ในเมืองล้วนตื่นเต้น สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ได้ยินว่ามีเพียงในสถานที่ที่ร่ำรวยเช่นเมืองหลวงจึงจะมี ธิดาสกุลร่ำรวยในท้องถิ่นหากคิดจะเรียนรู้ ปกติสามารถเชิญอาจารย์ไปสอนถึงบ้านได้ อาจารย์หญิงปกติจะหายาก และใช่ว่าทุกคนจะเชิญมาได้ สู้เข้าสำนักศึกษาจะสะดวกกว่า
มีคนอยากรู้มาสอบถาม ได้ความเพียงว่าในจวนซือหม่ามีเหล่าน้องสาวที่อายุถึงเกณฑ์ต้องการเข้าเรียน จึงได้ตั้งสำนักศึกษาสตรีขึ้น อาจารย์หญิงที่เชิญมาล้วนเก่งเป็นอันดับต้น หากสามารถเรียนจบจากสำนักศึกษานี้ได้ ภายหน้าต้นทุนตอนบุตรสาวออกเรือนจะไม่มากยิ่งขึ้นหรือ
ในวันสอบ สำนักศึกษามีคนมามากมายทันที เด็กสาวหวีผมเรียบร้อยทุกคนถูกนำเข้าไปสอบตอบคำถามในสำนักศึกษา
ธิดาครอบครัวบัณฑิตมากมายเพราะผ่านการเรียนรู้จากที่บ้านมาเร็ว ตำราบทกลอนล้วนท่องจำได้คล่องแคล่วแล้ว หยิบข้อสอบขึ้นมาอ่านก็แอบพ่นหัวเราะ ข้อสอบที่ออกคือเรื่องเบื้องต้นประเภทคัมภีร์สามอักษร กับระเบียบของศิษย์ เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาดูถูกสตรีอย่างนั้นหรือ จึงยกมือตวัดพู่กัน เขียนอักษรอย่างงดงามเป็นพิเศษ
หลังจากตอบคำถามเก็บข้อสอบไปแล้ว นอกจากเด็กสาวไม่กี่คนที่ก้มหน้าเศร้าออกมา เด็กสาวส่วนใหญ่ล้วนมีหน้าตายินดีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกให้ท่านพ่อท่านแม่รีบเตรียมกล่องหนังสือกับสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องพู่กันน้ำหมึก ตนเองต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน
แต่เมื่อถึงวันติดประกาศ คนเห็นกลับอ้าปากคางแทบหลุด เด็กสาวคนเก่งธิดาจากสกุลบัณฑิตหลายสกุลในเมืองสอบไม่ติดแม้แต่คนเดียว คนที่ถูกรับเข้าเรียนเป็นบุตรสาวของคนขายเนื้อ ธิดาของขุนนางก็มีบ้าง ซูเสี่ยวเหลียงธิดานายอำเภอซย่าเซี่ยนในเมืองโม่เหอก็สอบติดเช่นกัน แต่นางเป็นคนงุ่มง่ามที่ขึ้นชื่อ!
แม้ว่ากระดานประกาศคัดเลือกนี้จะทำให้คนไม่เข้าใจ แต่สำนักศึกษาก็ทำการเปิดสอนอย่างรวดเร็ว
ผมของหลี่รั่วอวี๋ถูกเกล้าเป็นสองจุก ห่อด้วยผ้าบางอยู่สองข้างหัว สวมชุดกระโปรงแขนเสื้อกว้างเข้ารูปสีขาวนวล เดิมทีนางเป็นหญิงเจียงหนานตัวเล็ก ดูแล้วเหมือนลดอายุไปอีกหลายปี เพราะนางกลัวเจ็บจึงไม่ได้ทำการเปิดหน้า ใบหน้าที่มีขนอ่อนกระจ่างใสจึงดูเหมือนหญิงอายุน้อยเพียงสิบสามปี
นางแบกกล่องหนังสือเล็กส่องซ้ายขวาหน้ากระจก ดูพอใจอย่างมาก พอหันไปดู เห็นฉู่จิ้งเฟิงยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าประตู ดวงตาก็มีรอยยิ้มในทันที เอียงคอถามว่า “พี่ฉู่ พี่ดูสิว่าชุดเรียนของรั่วอวี๋น่าดูหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงใบหน้าเรียบเฉย ในใจลอบนึกอยากจะถอดชุดที่ดูงดงามนั้นออกให้หมด!