หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าสายตาของพี่ฉู่น่ากลัว จึงแบกกล่องหนังสือเล็กรีบวิ่งออกประตูไปขึ้นรถม้า
วันนี้ไปสำนักศึกษาสิ่งสำคัญคือไปกราบไหว้รูปปั้นอาจารย์และแบ่งที่นั่ง ฟังอาจารย์หญิงแจ้งกฎระเบียบของสำนักศึกษา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาได้แล้ว
สาวใช้ที่ดูแลเรื่องพู่กันน้ำหมึกให้หลี่รั่วอวี๋ก็คือซูซิ่ว การดีดพิณเดินหมากเขียนอักษรวาดภาพไม่มีสิ่งใดที่นางไม่เชี่ยวชาญ หากหลี่รั่วอวี๋มีการบ้านใดที่ทำไม่ได้ มีนางคอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็ไม่ต้องถึงกับขายหน้าสหายร่วมเรียน
กำแพงสำนักศึกษาเรียบง่ายแบบโบราณ ป้ายชื่อก็เพิ่งแขวนขึ้นไปใหม่ เป็นอักษรคำว่า ‘สำนักศึกษาชิ่งซวี’ ที่ฉู่จิ้งเฟิงเป็นผู้ลงมือเขียนเอง
ชิ่งซวีเป็นหญิงมีความสามารถในราชวงศ์ก่อน เคยแต่งกายเป็นชายสอบได้จ้วงหยวน ตอนนี้ในละครยังมีบทที่พูดถึงนางโดยเฉพาะ ความหมายของชื่อนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นสำนักศึกษาสตรี
หลี่รั่วอวี๋ใจร้อน มาเร็วกว่าเวลามาก แต่ตอนลงจากรถม้าก็มีเด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนนางนำสาวใช้มายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ต่างเงยหน้าขึ้นจ้องแผ่นป้ายด้านบน แล้วอ่านทีละตัวอย่างช้าๆ “สำนัก… ศึกษา… โง่…เง่า!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง สาวใช้ข้างหลังเด็กสาวผู้นั้นก็ร้อนใจ พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู นั่นคือสำนักศึกษาชิ่งซวีเจ้าค่ะ! ชิ่งซวี!”
เด็กสาวผู้นั้นได้ฟังก็โล่งอกทันที “ข้าก็ว่าทำไมใช้ชื่อนี้ มันด่าคนไม่ใช่หรือ”
หลี่รั่วอวี๋ฟังชัดเจนแล้วจึงลงจากรถม้ามายืนอยู่ใต้แผ่นป้ายเลียนแบบการอ่านหนึ่งรอบอย่างดี “สำนัก…ศึกษา…ชิ่งซวี่!”
สาวใช้ด้านข้างผู้นั้นฟังแล้วก็อึดอัดมาก คิดว่าคุณหนูของตนเองทำขายหน้าต่อสหายร่วมเรียนจริงๆ!
แต่คุณหนูที่อ่านอักษรผิดผู้นั้นกลับไม่คิดอะไร แค่เพียงมองสำรวจหลี่รั่วอวี๋อย่างสงสัย “ขอถามว่าเจ้าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาใหม่นี้เช่นกันหรือ”
หลี่รั่วอวี๋พยักหน้าอย่างแรง
คุณหนูผู้นั้นยิ้มอย่างตื่นเต้น “ข้าชื่อซูเสี่ยวเหลียง เป็นบุตรสาวคนที่สามของซูกวงจงนายอำเภอซย่าเซี่ยน ขอถามว่าเจ้าชื่ออะไร”
ซูซิ่วที่อยู่ด้านข้างพูดตอบว่า “คุณหนูของข้าเป็นน้องสาวห่างๆ ของท่านซือหม่า ชื่อหลิวอวี๋เอ๋อร์ หรือเรียกสั้นๆ ว่ารั่วอวี่ ต่อไปคุณหนูเรียกนางว่ารั่วอวี่ก็พอเจ้าค่ะ”
ซือหม่ากำชับเอาไว้ ในเมื่อเป็นสหายร่วมเรียนกับเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามกลุ่มหนึ่งก็ไม่ต้องแสดงฐานะว่าฮูหยินแต่งงานมาแล้ว จะได้ไม่ถูกสหายร่วมเรียนตีตัวออกห่าง เช่นนี้ฮูหยินก็สบายใจ แต่ให้ซูซิ่วใช้ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง จะได้ไม่ทำให้คนสงสัย
ดังนั้นหลังจากเด็กสาวสองคนทำความรู้จักกันแล้ว ก็ก้าวเท้าเข้าประตูสำนักศึกษาพร้อมกัน
ไม่นาน รถม้าหน้าประตูก็ต่อกันเป็นขบวนยาว เด็กสาวเจ็ดแปดคนพากันแบกกล่องหนังสือเข้ามาในสำนักศึกษา
อาจารย์หญิงของสำนักศึกษาเป็นหญิงอายุราวสามสิบปี ใบหน้าหมดจด ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของบัณฑิตใหญ่โจวปิ่งถง นางหลงใหลโคลงกลอน ตั้งปณิธานว่าจะไม่แต่งงาน มีความรู้ด้านต่างๆ มากมาย
อาจารย์โจวนิสัยอ่อนโยน มีความอดทนต่อศิษย์หญิงเหล่านี้ หลังจากนำพวกนางไปกราบไหว้รูปปั้นอาจารย์แล้ว ก็แนะนำอาจารย์หญิงอีกหลายคนที่สอนศิลปะการดีดพิณและการชงชา จากนั้นนำพวกเขามายังที่โล่งแห่งหนึ่งในสำนักศึกษา ให้พวกนางพักผ่อนกินอะไรเล็กน้อยที่นี่ และใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน
บนพื้นหญ้าเขียวขจีปูเสื่อตาถี่เอาไว้ก่อนแล้ว ยังวางโต๊ะเล็กที่ประณีตเอาไว้ด้วย แต่ศิษย์หญิงคนอื่นไม่รู้ว่าวันนี้จะมีการร่วมกินอาหาร ในกล่องหนังสือนอกจากอุปกรณ์เขียนหนังสือแล้วไม่มีของอย่างอื่น ในชั่วขณะนี้ ทุกคนล้วนเหม่อมองโต๊ะเล็กว่างเปล่าเช่นกัน
ซูซิ่วย่อมเตรียมของมาแล้ว จึงให้บ่าวหญิงอาวุโสในสำนักศึกษามาช่วยเหลือ ยกกล่องอาหารสูงห้าชั้นลงมาจากรถม้า