อาหารในกล่องก็จัดอย่างประณีตทุกอย่าง ซูซิ่วสั่งพ่อครัวในจวนว่า นี่เป็นของที่เตรียมให้สำหรับเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปี ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่จึงเป็นของว่างที่ดูน่ากินและอร่อย
เกาลัดที่ปอกเปลือกแล้วคลุกด้วยน้ำตาลอ้อยวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในกล่องอาหารไม้เล็ก และตกแต่งด้วยดอกไม้น้ำตาลที่น่าดู เนื้อแห้งเลือกใช้สันในวัวชั้นดี หั่นเป็นเส้นยาวหมักสุราเหลืองกับเครื่องปรุงจากนั้นผัดน้ำมันตากลมให้แห้ง สำหรับขนมของว่างหลากสี ประณีตจนเห็นแล้วต้องชอบ สิ่งที่นำมากินคู่อาหารนอกจากจะเป็นชาชั้นดี ยังมีน้ำบ๊วยและน้ำสาลี่ดอกกุ้ยที่ผ่านการแช่น้ำแข็งมาแล้ว
เหล่าศิษย์หญิงที่มาเข้าเรียนในวันนี้แม้ว่าทางบ้านจะสุขสบายพอควร แต่ล้วนเป็นคนในพื้นที่เล็กๆ เรื่องอาหารการกินจะเทียบกับตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นถึงโหวได้อย่างไร ดังนั้นเมื่ออาหารถูกจัดเรียงเสร็จแล้ว ดวงตาแต่ละคนก็เริ่มเปล่งประกาย
แต่อย่างไรเสียก็เป็นสหายร่วมเรียนที่เพิ่งรู้จักกัน อยู่ที่บ้านถูกพ่อแม่พูดกำชับไว้ เข้าเรียนแล้วต้องวางท่าความเป็นธิดาผู้ดี จะให้สหายร่วมเรียนดูถูกไม่ได้ และในเมื่อเป็นการร่วมกินอาหารในสำนักศึกษา คงต้องมีการแต่งกลอนอะไรกันบ้าง
เมื่อคิดว่าต้องแต่งกลอนสด พวกเด็กสาวในที่นั้นกลับกังวล กลัวว่าคุณหนูที่มาจากจวนซือหม่าจะแต่งกลอนได้งดงามลึกซึ้งเกินไป หากแต่งต่อไม่ได้จะขายหน้า ด้วยความลังเลใจนี้ทำให้ลดความอยากอาหารไปไม่น้อย
แต่หลี่รั่วอวี๋กลับไม่กังวลมากมายอย่างนั้น ตอนเช้ารีบเปลี่ยนชุดจึงไม่ได้กินดี ตอนนี้จึงรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างจริงๆ หลังจากที่ซูซิ่วยกอ่างกระเบื้องน้ำแช่ใบปั้วเหอ ให้นางล้างมือแล้ว นางก็เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหวหยิบขนมพุทราเชื่อมสามสีขึ้นมา เคี้ยวไปพลางพูดเสียงไม่ชัดเจน “พวกเจ้า…เหตุใดจึงไม่กิน”
ในเมื่อเด็กหญิงจากจวนซือหม่าลงมือคนแรก เด็กหญิงที่เหลือก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย หันหน้ามองกัน แล้วยื่นมือไปหยิบอาหารอย่างหวาดกลัว รอจนอาหารรสเลิศเข้าปาก รสชาติหอมหวานผ่อนคลายความตื่นตระหนก ทุกคนจึงค่อยๆ เริ่มพูดคุยหัวเราะกัน
ศิษย์เหล่านี้ตอนเข้าเรียนล้วนได้รับคัดเลือกมาอย่างดี แม้จะไม่ใช่ปัญญาอ่อนแต่ก็มีข้อด้อยของตนเอง พูดติดอ่างก็มีไม่น้อย ทำให้เห็นไม่เด่นชัดว่าหลี่รั่วอวี๋พูดจาไม่มีลำดับแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ญาติห่างๆ ของจวนซือหม่าผู้นี้ ผิวขาวนวลหน้าตางดงามนั้นไม่ต้องพูดถึง ชาติกำเนิดก็ยังดีที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้ ที่หายากคือเป็นคนไม่วางท่า มาถึงครั้งแรกก็เอาของกินมากมายมาให้ทุกคน ช่างเป็นหญิงที่เรียบง่ายเข้ากับคนได้ง่ายเสียจริง!
ในจำนวนศิษย์มากมายเช่นนี้ ซูเสี่ยวเหลียงนั้นตกใจมากที่สุด นางนั่งติดหลี่รั่วอวี๋ มองดูคุณหนูรั่วอวี่ผู้นี้ใช้ส้อมเงินจิ้มเนื้อแห้งขึ้นมา แล้วจิ้มแตงกรอบดองที่หั่นเป็นชิ้นเล็กขึ้นมา วางพวกมันใส่ในแผ่นแป้งบางที่เปิดปากไว้ จากนั้นกระดกนิ้วชี้ขึ้นค่อยๆ กัดทีละคำ ท่าทางการกินนี้ฉายความสง่างามอยู่หลายส่วน
นางรีบทำตาม พอกัดเข้าไป แตงกรอบดองเมืองเหลียวเฉิงมีอานุภาพรุนแรงมาก แผ่นแป้งฟูนั้นจึงอร่อยขึ้นในทันใด เห็นคุณหนูรั่วอวี่ใส่บ๊วยและน้ำตาลกรวดลงในน้ำชา นางก็ทำตาม พอดื่มหนึ่งอึก รสชาติแห่งความสุขก็แทบจะกลายเป็นน้ำตาทะลักออกมาจากดวงตา
ความเปรี้ยวของแตงกรอบดองกับความหอมสดชื่นของชาสามอย่างยังวนอยู่ที่ปลายลิ้นและในใจซูเสี่ยวเหลียง คุณหนูรั่วอวี่ผู้นี้ช่างสมบูรณ์แบบ เป็นแบบอย่างของหญิงอายุสิบสองสิบสามได้เลย!
เพียงเวลาสั้นๆ ซูเสี่ยวเหลียงก็นับถือศิโรราบหลี่รั่วอวี๋ที่กินเก่งมาก
จนถึงวันต่อมาเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ เหล่าศิษย์หญิงรู้สึกโล่งอก ที่แท้วิชาในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการ สบายกว่าการเรียนในบ้านมาก ในแต่ละคาบเรียนให้เรียนรู้แค่สามตัวอักษร แล้วใช้กระดาษร่างอักษรมาเขียนตามอาจารย์หนึ่งรอบ เวลาที่เหลือก็ฟังคำสอนของอาจารย์ เนื้อหาใช้นิทานเรื่องเล่าที่สนุกสนานเป็นหลัก ทุกครั้งที่อาจารย์พูดจบ ศิษย์ทุกคนจะฟังเพลินอยู่ยังดึงสติไม่คืนมา
สำหรับวิชาที่เหลือเหล่าศิษย์สามารถเลือกได้ตามความชอบ หลี่รั่วอวี๋คิดว่าที่แท้ชีวิตในสำนักศึกษาสบายมีความสุขเช่นนี้เอง แม้ตัวอักษรของนางจะเขียนได้ไม่น่าดู แต่สหายร่วมเรียนรอบข้างก็มีความสามารถพอๆ กัน ไม่มีจุดที่โดดเด่นไปกว่ากัน
นางเลือกเรียนศิลปะการดีดพิณ ตั้งปณิธานว่าจะดีดเพลงให้ได้สักเพลง ภายหน้าตอนที่ได้พบฉู่หวั่นเหนียงอีกครั้งจะได้ดีดให้นางฟัง
แต่วิชานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับความนิยมเหมือนวิชาการฝีมือหรือการชงชา ในห้องพิณที่กว้างขวางมีเพียงนางกับซูเสี่ยวเหลียงสองคน
แต่อาจารย์เหมือนไม่ถือสาที่มีศิษย์น้อยเกินไป เห็นหลี่รั่วอวี๋เลือกเรียนวิชาดีดพิณ นางก็ดีใจ สอนอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ซูเสี่ยวเหลียงนั้นกลับไม่เหมาะกับวิชาดีดพิณที่งามสง่าแบบนี้ บทเพลงที่บรรเลงก็เหมือนเสียงแผงเหล็กตีปุยฝ้ายตามท้องถนน
หลี่รั่วอวี๋เพราะได้ฉู่หวั่นเหนียงสั่งสอน จึงดีดเพลงเด็ก ‘ดึงน้องชาย’ ทั้งที่นิ้วสั่นได้ ทำให้ซูเสี่ยวเหลียงอิจฉาได้อีกครั้ง
ตอนเลิกเรียน ซูเสี่ยวเหลียงรู้สึกเศร้าอยู่บ้างจึงพูดพึมพำว่า “ข้าโง่จริงๆ เรียนมาหนึ่งคาบดีดได้แค่เสียงตีปุยฝ้าย”
“เสี่ยวเหลียงไม่โง่ ตั้งใจเรียนก็จะฉลาดได้” หลี่รั่วอวี๋ลูบหัวของนาง เลียนแบบท่าทางของฉู่จิ้งเฟิงปลอบใจนาง