ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 10 – บทที่ 11 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 10 – บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 10 Will you marry me?

โดยไม่รอคำตอบจากคนที่เขาตั้งคำถามมนายุก็หันกลับไปทางเดิม เหม่อมองก้อนเมฆสีครึ้มคล้ายกำลังส่งสัญญาณว่าไม่นานนับจากนี้…หยดน้ำมากมายจะร่วงหล่นจากฟ้า

“ป๊าโดนรถชนเพราะผม” ทั้งที่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุด แต่น่าเจ็บใจเมื่อสุดท้ายปลายเสียงยังสั่นพร่าอยู่ดี พระเอกหนุ่มเจ้าของรางวัลหลายเวทีจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “จริงๆ แล้ววันนี้คนที่ต้องไปรับกล้องคือผม แต่ผมติดถ่ายซ่อมฉากสำคัญจึงออกจากกองช้ากว่าที่คิดไว้ ป๊าเลยอาสาเป็นคนไปเอากล้องให้”

สองมือของคนเล่ากำหมัดแน่น ยังจำได้ถึงน้ำเสียงเจือสะอื้นของมารดาตอนโทรศัพท์มาบอกข่าวร้ายว่าขณะกำลังจะข้ามถนนไปยังร้านกล้องเจ้าประจำของเขาเพื่อรับกล้องรุ่นเก่าซึ่งมนายุหาซื้อและเฝ้ารอมาหลายเดือนนั้น บิดาถูกรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งแหกไฟแดงมาชนจนล้มไปกองกับพื้นถนน ศีรษะท่านกระแทกอย่างจังจนหมดสติไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหวีดร้องของบรรดาไทยมุงแถวนั้น ก่อนจะถูกเจ้าของร้านซึ่งเห็นเหตุการณ์ช่วยนำส่งโรงพยาบาล

ตลอดระยะเวลาที่คุณสมภพอยู่ในห้องฉุกเฉินและมนายุรีบขอตัวออกมาจากกองถ่ายละคร คุณมัทนาได้แต่นั่งประสานมือร้องไห้อยู่เพียงลำพัง กลัวว่าคู่ชีวิตจะไม่สามารถรักษาสัญญาที่ว่าจะกุมมือกันไปจนแก่เฒ่าไว้ได้

ภาพที่มนายุได้เห็นตอนมาถึง…ก็คือแม่เขาเอาแต่ลูบแหวนแต่งงานที่พ่อให้ท่านไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไว้ทั้งน้ำตา

และนั่น…ทำให้เขาทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวยิ่งกว่าวันที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อหลายเดือนก่อนเสียอีก

ชายหนุ่มได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปสวมกอดมารดาไว้แน่น กระซิบปลอบท่านย้ำๆ ว่า

‘ป๊าต้องไม่เป็นอะไร แม่เชื่อเหมือนนะ ป๊าต้องไม่เป็นไร’

แท้จริงแล้วประโยคนั้นเป็นทั้งคำปลอบโยนคุณมัทนาและการภาวนาไปพร้อมๆ กัน ในช่วงเวลาที่เฝ้ารอแพทย์หรือพยาบาลออกมาแจ้งอาการนั้น มนายุถึงกับอดคิดไม่ได้ว่า…มันเป็นเพราะเขา

อุบัติเหตุในครั้งนี้มันเป็นเพราะเขา เพราะดวงเบญจเพสของเขาที่ทำร้ายลามไปถึงคนที่เขารัก

ถ้าไม่ใช่เพราะเบญจเพสของเขา…ถ้าไม่ใช่เพราะไปรับกล้องแทนเขา…ไม่มีทางที่ป๊าจะต้องโดนรถชนแบบนั้น…ไม่มีทาง

ลงที่เขาสิ…ถ้าหากนี่มันเป็นเคราะห์ร้ายของเขา ไม่ว่าจะเป็นเคราะห์เล็กหรือเคราะห์ใหญ่ที่ถึงแก่ชีวิต ขอให้คนที่ได้เผชิญหน้ากับมันคือเขา…เขาคนเดียวเท่านั้น

ราวกับรู้ว่าลูกชายคนเดียวกำลังคิดและเฝ้าโทษตัวเองอยู่ คุณมัทนาที่ได้รับการเยียวยาจากอ้อมกอดลูกค่อยๆ มีสติมากขึ้น ท่านเงยหน้าขึ้น ใช้มือสั่นเทาปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อมาจากดวงตาแฝงความเจ็บปวดของลูก กระซิบบอก

‘ไม่นะเหมือน…ไม่ว่าลูกหรือป๊า…แม่เสียไปไม่ได้สักคน’

เพราะคนหนึ่งคือชีวิตของท่าน…สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งท่านให้กำเนิด เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมมาตลอด และอีกคน…คือคู่ชีวิต คือคนที่ท่านเลือกจะวางชีวิตไว้ในมือ เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า กับผู้ชายทั้งสองคนที่สำคัญขนาดนี้…ไม่มีคนไหนเลยที่คุณมัทนาจะสูญเสียไปได้ เพราะอย่างนั้น…

ท่านจึงได้ตัดสินใจจะดึงใครอีกคนให้ก้าวเข้ามาสู่ครอบครัว

มนายุรู้ตั้งแต่เห็นหน้าผู้หญิงที่มารดาพามาถึงห้องพักฟื้นของบิดา หรือที่จริงแล้ว…เขารู้ตั้งแต่คุณสมภพพ้นขีดอันตรายแล้วแม่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง

‘ถึงป๊าจะดูไม่ได้สนใจเรื่องเคราะห์เรื่องดวงอะไรของเหมือนเหมือนกับแม่ แต่จริงๆ แล้วป๊าเขาใส่ใจมากนะลูก ช่วงนี้ป๊าชวนแม่ไปทำบุญไหว้พระทั้งวัดไทย วัดจีน จนถึงวัดแขกเพื่อขอให้เหมือนปลอดภัย และที่สำคัญก่อนหน้านี้…’ ดวงตาซึ่งเป็นต้นแบบของเขามองมาราวกับชั่งใจอะไรบางอย่าง และก่อนที่แม่จะพูดออกมาท่านก็ยื่นมือเล็กๆ มากุมมือเขาไว้แน่น ‘เหมือน…สิ่งที่แม่จะบอกไม่ใช่เพื่อให้เหมือนโทษตัวเองนะลูก แม่รู้ว่าเรื่องที่แม่กำลังจะพูดอาจจะทำให้เหมือนโทษตัวเองและคิดว่าเป็นความผิดของเหมือน แต่มันไม่ใช่ และที่แม่อยากบอก…ก็แค่อยากให้เหมือนรู้ว่า…ป๊าเขารักเหมือนมาก’

เพราะแบบนั้น…ป๊าของเขาจึงพูดออกไป คำพูดที่เหมือนจะไม่ได้คิดอะไร แต่พวกเขาแม่ลูกรู้ดีว่ามันมีความจริงจังแฝงอยู่ และมันได้เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้

‘ถ้าเกิดจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับเหมือนอีก ขอให้มันเกิดขึ้นกับผมดีกว่า’ ใบหน้าที่แทบไม่เหมือนลูกชายเลยสักนิดแต้มรอยยิ้มจาง ‘ผมเคยได้ยินมาว่าบางทีมันก็มีการรับเคราะห์แทน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจริงมั้ย แต่ถ้าจริงล่ะก็…ให้มันเกิดขึ้นกับผมเถอะ ผมแก่แล้ว ผ่านอะไรในชีวิตมามากพอแล้ว ถ้าหากเคราะห์ร้ายอะไรนั่นมันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจริงๆ…ก็ให้มันเกิดขึ้นกับผมเถอะ เหมือนมันยังมีอนาคตอีกยาว มัทก็อย่าไปบังคับให้ลูกต้องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรนั่นเลยนะ’

บิดาของเขาไม่ได้พูดเท่ๆ ไปแบบนั้น เพราะพอเหตุการณ์เฉียดตายมันเกิดขึ้นจริง สิ่งแรกที่ท่านพูดเมื่อลืมตาขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนก็คือ

‘ดีนะที่คนไปเอากล้องวันนี้คือป๊า ถ้าเป็นเหมือนคงแย่’ และจากนั้นท่านก็ยังยิ้มแย้ม พยายามเย้าให้เขากับแม่หัวเราะออกมา ‘แล้วก็ดีแล้ว…ที่เป็นขาไป ขืนเป็นขากลับที่มีกล้องอยู่ในมือด้วย ป๊าคงเสียดายแย่ ตัวนี้เหมือนรอมาตั้งหลายเดือน’

วินาทีนั้นมนายุโน้มตัวลงไปกอดท่านไว้แน่นๆ โดยระวังไม่ให้กระทบกระเทือนถึงบาดแผล พึมพำเสียงเจือสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่

‘แต่สำหรับเหมือนมันไม่ดีเลย ให้เหมือนเจ็บตัวซะยังดีกว่าเป็นป๊า แล้วกล้องนั่น…ต่อให้เหมือนรอมากี่เดือนกี่ปี มันจะหายากแค่ไหนก็ไม่มีค่าอะไรเลยถ้าทำให้ป๊าต้องเจ็บแบบนี้’

‘โตป่านนี้แล้วยังขี้แยอีกนะลูกคนนี้’

เพียงฝ่ามือของท่านวางบนศีรษะแล้วโยกไปมาอย่างที่เคยทำเสมอตอนเขาเป็นเด็ก มองมาด้วยแววตาแบบเดิมที่มองเขามาตลอดทั้งชีวิต มนายุก็ตัดสินใจได้เช่นเดียวกับมารดา

เขาจะทำ

ไม่ว่าไอ้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขากับครอบครัวเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันจะเกิดจากเรื่องดวงเรื่องเคราะห์เบญจเพสจริงๆ รึเปล่า ไม่ว่าวิธีแก้ไขจะดูงี่เง่างมงายยังไง มนายุก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดความสูญเสียหรือเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นกับครอบครัวของเขาอีกเด็ดขาด

“จริงอยู่ที่พ่อเหมือนโดนรถชนเพราะไปเอากล้องให้เหมือน แต่…มันก็ไม่ใช่ความผิดของเหมือนนะ มันเป็นอุบัติเหตุ” หญิงสาวซึ่งรับรู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้บิดาของอีกฝ่ายต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอ่ยปลอบ

ด้วยความสัตย์จริงถ้าเป็นเธอเองลิปสาก็คงอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้พ่อต้องประสบอุบัติเหตุ แต่…ยังไงเสียความจริงก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา

“เฮ้อ!” พระเอกหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับมามองหน้าผู้หญิงซึ่งถือว่าแปลกหน้าแต่อาจจะเป็นคนเดียวที่ช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ มนายุยิ้มจาง มองเห็นความห่วงใยปนเห็นใจในดวงตาคู่กลมแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้

“ถ้ามันมีแค่นั้นผมก็คงไม่โทษตัวเองขนาดนี้ แต่ก็อย่างที่ถามตอนแรก…เธอเชื่อเรื่องดวงมั้ย”

ลิปสากะพริบตา งงจัดเมื่ออยู่ดีๆ พระเอกคนโปรดก็หักเหบทสนทนาเข้าสู่เรื่องดวงชะตาราศี

“อืม จะว่าไงดีล่ะ…” หญิงสาวทำสีหน้าลังเล ถ้าตอบว่าเชื่อจนถ่อไปดูดวงไกลถึงบ้านเกิดเขาก็ดูจะงมงายไปหน่อย แต่ถ้าจะตอบว่าไม่เชื่อ…จากการตั้งคำถามของมนายุเธอเดาว่าเรื่องที่เขาเล่าน่าจะต้องอาศัยความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ไม่น้อย “คือเราชอบดูดวง แต่ก็ไม่ได้เชื่อจริงจังอะไร แบบถ้าอันไหนมันดีก็จะเชื่อแบบเชื้อเชื่อทั้งที่รู้ว่า ‘หมอดูคู่หมอเดา’ แต่ถ้าอันไหนมันไม่ดี…ก็ไม่เชื่อทั้งที่ยังกังวลๆ อ่ะ งงมั้ย”

ท้ายประโยคอดหันไปถามคู่สนทนาอย่างประหม่าไม่ได้

ทั้งประหม่าเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง อธิบายแล้วงง และประหม่าเพราะคู่สนทนาคือเขา…พระเอกที่เธอกรี๊ดหนักมากจนถึงขั้นคลั่งไคล้มาหลายปี ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่เวลา…แต่หัวใจดวงเล็กก็ยังอดจะกระหน่ำรัวไม่ได้ยามมองใบหน้าของเขา

สามีมโนของเธอ

มนายุใช้เวลาครู่หนึ่งให้สมองได้ทบทวนและประมวลผลจากคำพูดของเธอ

“อืม เข้าใจนะ” เขาพยักหน้ารับ “ก็คล้ายๆ ผมมั้ง…ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่อะไร…ต่อนะ” พระเอกหนุ่มเล่าต่อถึงเหตุผลที่ทำให้เขาโทษว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ของบิดาเกิดจากเขาเป็นต้นเหตุ “จริงๆ แล้วแม่ผมมีซินแสที่ท่านนับถือมากๆ อยู่คนหนึ่ง ตอนผมเกิดซินแสทำนายว่าชีวิตผมจะดีแบบโคตรๆ ดีเลย ไปไหนใครเห็นใครก็รักใคร่เมตตา แต่จะเป็นแบบนั้นอยู่ถึงแค่อายุยี่สิบสี่ พอย่างเข้าสู่ปีที่ยี่สิบห้า…เบญจเพสที่เป็นจุดเปลี่ยนของดวงชะตาชีวิต…ดวงของผมจะพลิกกลับ”

หัวใจลิปสากระตุกวูบตอนริมฝีปากอิ่มระเรื่อซึ่งถูกโหวตให้เป็นริมฝีปากน่าจูบที่สุดของปีก่อนพูดถึงซินแส อดคิดไม่ได้ว่าจะใช่คนเดียวกับซินแสหมิงที่เธอถ่อไปดูถึงพิษณุโลกรึเปล่า หญิงสาวขยับปากอยากจะเอ่ยถามไปตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าขัดคนเล่าจึงได้แต่ฟังต่อไป

“จากที่ดีสุดๆ ก็จะเจอเรื่องร้ายๆ เข้ามาบ้าง ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้นะ แม่เองก็ลืมไปตั้งนานแล้วด้วย จนกระทั่งปีนี้ผมเจอเรื่องแย่ๆ เยอะมากทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอเลย แม่ผมเลยนึกเรื่องนี้ออกแล้วกลับไปปรึกษาซินแสคนเดิม ซินแสเลยบอกว่าผมเจอเคราะห์เบญจเพสเข้าแล้ว”

แฟนคลับที่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง เพราะตำแหน่งนั้นมีตัวพระเอกหนุ่มเองครองอยู่ก่อนแล้ว แถมยังไม่กล้าเรียกเป็นอันดับสองเพราะไม่ค่อยได้ตามไปเขาในงานต่างๆ เหมือนคนอื่นๆ หวนนึกถึงข่าวคราวของมนายุตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงอุบัติเหตุที่ทำให้เธอได้เจอกับเขาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าแล้วใจหายวาบ ไอเย็นจากไหนไม่ทราบแผ่ซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้าจนต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ภาพเหตุการณ์ที่เขาล้มใส่อ้อมกอดเธอโดยมีฉากหลังเป็นรถไฟลุกท่วมยังประทับแน่นอยู่ในหัว จึงรีบถามเสียงสั่น

“มัน…มีวิธีแก้ใช่มั้ยคะ แบบว่าสะเดาะเคราะห์ เปลี่ยนร้ายเป็นดี หรือลดทอนเคราะห์กรรมให้เบาบางลงน่ะ”

ถ้าซินแสที่เขาเล่าเป็นคนเดียวกับซินแสหมิง ลิปสาคิดว่ามันน่าจะมีวิธีสะเดาะเคราะห์อยู่ เพราะขนาดของเธอเบากว่าเขาตั้งเยอะ แค่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ ยังมีวิธีแก้กรรมสะเดาะเคราะห์ได้ เธอก็เชื่อว่าของมนายุน่าจะมีหนทางอยู่เหมือนกัน

“มีสิ ทำไมจะไม่มีล่ะ” มนายุยิ้ม ทั้งๆ ที่ยังเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ก็อดจะขำเล็กๆ กับใบหน้าซีดเผือดของเธอไม่ได้ และนอกเหนือจากความขำ…ลึกลงไปหัวใจยังอุ่นวาบเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยเข้มข้นจากเธอ “ซินแสบอกว่ามีวิธีสะเดาะเคราะห์ที่จะเปลี่ยนเบญจเพสร้ายๆ ของผมให้มันดีขึ้นมาได้อยู่เหมือนกัน แล้วแม่ก็พยายามจะให้ผมทำมาตลอดตั้งแต่ตอนสลิงขาดโน่นแล้ว แต่ผมก็…” เขายักไหล่ “ไม่ได้ทำ เพราะส่วนหนึ่งผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ และอีกส่วนคือมันค่อนข้างยาก”

“อะไรคะ มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” ลิปสาขมวดคิ้ว นึกถึงเคราะห์ร้ายถึงชีวิตของมนายุแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังใจเย็นไม่สะเดาะเคราะห์ตามคำแนะนำของซินแส เพราะขนาดของเธอไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นยังร่ำร่ำจะหาเจ้ากรรมนายเวรมาแก้กรรมอยู่ทุกวัน

“ก่อนผมจะบอกว่าวิธีแก้มันคืออะไร ตอบคำถามผมก่อนได้มั้ยว่าตกลงเธอเชื่อเรื่องดวงแล้วก็เรื่องที่ผมเล่ารึเปล่า”

คนใจร้อนอยากรู้วิธีสะเดาะเคราะห์ของเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด รีบพยักหน้า

“เชื่อสิ คือวิเคราะห์จากข่าวเหมือนตั้งแต่ต้นปี ทั้งตอนเป็นไข้เลือดออก อุบัติเหตุต่างๆ ไหนจะเรื่องที่โดนโกงเงินค่าตัว แอบอ้างชื่อนั่นอีก แล้วก็ยังเรื่องที่เราเจอกันตอนนั้น…เราว่าดวงเหมือนน่าจะตกเคราะห์เบญจเพสจริงๆ”

แล้วไม่ใช่เคราะห์เบาๆ ด้วยนะ ดูจากข่าวของเขาและสภาพของบิดาเขาวันนี้

มนายุอมยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทั่วใบหน้าของหญิงสาว เธอไม่ใช่คนที่สวยหรือโดดเด่นอะไรเลยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาเพื่อนร่วมวงการที่เขาเคยพบเจอ แต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามักจะมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เขาสนใจเธอ ซึ่งถ้าให้เดาก็คงเป็นเพราะวันเดือนปีเกิดของเธอที่เขารู้มา

เธอคือผู้หญิงคนแรก…ที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนหนึ่งวันและเกิดหลังเขาหนึ่งปีซึ่งเขาได้รู้จักหลังฟังคำทำนายและวิธีสะเดาะเคราะห์ของซินแสหมิง

และที่สำคัญ…ชายหนุ่มเหลือบตามองกำไลข้อมือของตัวเอง เธอคือคนแรกและคนเดียวที่ทำให้หยกเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้!

“ที่ผมบอกว่ามันค่อนข้างยากก็เพราะเรื่องนี้ผมทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ เพราะวิธีสะเดาะเคราะห์เบญจเพสของผมไม่ใช่พวกปล่อยนกปล่อยปลา เข้าวัดทำบุญ หรือกระทั่งบวชล้างกรรมเก่าอะไร แต่เป็นการตามหาคนคนนึงเพื่อให้ดวงของเขาหนุนดวงผมให้ดีขึ้น”

คิ้วคนฟังยังขมวดมุ่น ดวงตากลมจดจ่อมายังใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจฟังเต็มที่จนคนเล่าอดจะอมยิ้มไม่ได้

“ซินแสบอกให้ผมตามหาผู้หญิงที่เกิดก่อนผมหนึ่งเดือนกับหนึ่งวัน แต่ต้องเกิดหลังผมหนึ่งปีให้เจอ และ…”

ชายหนุ่มหันมาหาคนข้างๆ ซึ่งเบิกตากว้างใส่ คงรับรู้เลาๆ แล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง มนายุยิ้ม โน้มตัวลงมาจนดวงตาของทั้งคู่อยู่ระดับเดียวกัน มองความตกใจในแววตาคู่นั้น เอ่ยปากช้าๆ

“…แต่งงานกับเธอซะ”

หัวใจของลิปสาเต้นกระหน่ำจนเธอเชื่อว่าคนตรงหน้าต้องได้ยินมันอย่างชัดเจน

ชั่วขณะที่ประโยคนั้นหลุดพ้นจากกลีบปากน่าจูบของพระเอกคนโปรด หญิงสาวทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเบิกตามองหน้าเขาอยู่แบบนั้น สมองชาจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

เขาว่าไงนะ แต่งงานกับผู้หญิงที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนกับหนึ่งวันแต่ต้องเกิดหลังเขาหนึ่งปี…อย่างนั้นหรือ

ท่ามกลางความมึนชาราวกับสมองถูกแช่แข็งลิปสานึกไปถึงบทสนทนาเก่าๆ ระหว่างเธอกับปรียาวตี มีอยู่หลายครั้งหลายหนที่เธอมโนให้เพื่อนฟังถึงความเป็นเนื้อคู่ของตัวเองกับมนายุ

และหนึ่งในนั้นคือเรื่องวันเกิดของเธอกับเขา

ถ้านับตามปีเกิด…ลิปสาเกิดหลังมนายุหนึ่งปี แต่ถ้านับแบบว่าใครจะมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีก่อนกัน…คนคนนั้นคือเธอ

เธอที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนหนึ่งวันพอดีเป๊ะ!

เวลาที่ไหลผ่านค่อยๆ ละลายก้อนน้ำแข็งในหัว สมองลิปสาเริ่มกลับมาทำงานอย่างช้าๆ มันประมวลผลถึงเรื่องต่างๆ ทั้งความดีอกดีใจและดีต่อเธอเป็นพิเศษของคุณมัทนาและการที่มนายุเลือกจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง นั่นหมายความว่า…

มนายุที่เฝ้ามองทุกปฏิกิริยาของผู้หญิงตรงหน้าอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของเธอยังกว้างขึ้นได้อีกนิด ผิวแก้มซีดขาวในทีแรกค่อยๆ ถูกสีแดงเรื่อลามเลียขึ้นมาจากลำคอก่อนจะกระจายเต็มใบหน้านวล เธอสูดลมหายใจลึก ร่างซึ่งเล็กกว่าเขาราวยี่สิบเซ็นต์ผงะถอยหลังไปเล็กน้อย

ปฏิกิริยาของเธอบอกให้มนายุรู้…ว่าเธอรู้แล้วว่าตัวเองสำคัญยังไงกับเรื่องนี้

พระเอกหนุ่มยืดตัวเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด หูแว่วเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามไม่แพ้เสียงหัวใจของเธอที่กระหน่ำรัวไม่หยุด ดวงหน้าหวานแต้มรอยยิ้มจางๆ เอื้อมมือไปจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวซึ่งเรียกได้ว่าแปลกหน้าเอาไว้ และเอ่ยในสิ่งที่เขาเคยพูดอยู่หลายครั้งยามสวมบทบาทในละครโทรทัศน์

แต่กับชีวิตจริง…นี่คือครั้งแรก และเหตุผลที่เอ่ยมันออกมาก็ไม่ได้สวยหรูละมุนกลิ่นอายแห่งความรักเหมือนที่เคยคิดไว้

“ผมรู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เธอจะช่วย…แต่งงานกับผมได้รึเปล่า”

 

‘เหมือนแน่ใจเหรอว่า…เป็นเรา ผู้หญิงที่เกิดวันเดือนปีแบบเราไม่ได้มีคนเดียวในโลกแน่ๆ’

‘ผมรู้ แต่อะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมเชื่อว่าเป็นเธอ…อย่างน้อยเธอก็ปรากฏตัวเพื่อช่วยผมไว้ในวันนั้น’

‘มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ’

‘ก็อาจใช่ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้…มันพิสูจน์ยากเนอะ’ เขายักไหล่ ดวงตามุ่งมั่นคู่เดิมยังจ้องตรงมาที่เธอ ‘แต่ว่า…’ มนายุยกข้อมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของคนทั้งคู่ ปลายนิ้วเคาะบนกำไลหยกสีม่วงสวย ‘เดิมมันเป็นสีขาวมาตลอด ซินแสบอกว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงก็ต่อเมื่อเจอผู้หญิงคนนั้น ฟังดูโคตรแฟนตาซีเลยเนอะ และที่แฟนตาซีกว่านั้นคือ…มันไม่เคยเปลี่ยนสีมาก่อน จนกระทั่งเราเจอกัน…’

‘…!’

‘ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก เธอคงต้องการเวลาทบทวน เพราะขนาดตัวผมเองยังใช้เวลาหลายเดือนในการตัดสินใจ แต่…’

‘…’

‘ถ้าไม่รบกวนเกินไป เธอช่วยเก็บเรื่องนี้ไปคิดด้วยนะ’

“กำไลเปลี่ยนสีได้…เพราะเรางั้นเหรอ” หญิงสาวพึมพำ สมองยังหมกมุ่นกับความทรงจำบนระเบียงโรงพยาบาลจนไม่ทันได้ยินเสียงเรียก

“…รักแรกพบ รักแรกพบ…ลิปสา!”

ร่างเพรียวสะดุ้งพรวด ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังต้นเสียงคือบิดาแท้ๆ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเรียกชื่อเล่นเธอเต็มๆ ว่า ‘รักแรกพบ’ อย่างตกใจ รีบรับคำเสียงสั่น

“คะ…คะป๊า มีอะไรรึเปล่าคะ”

ดวงตาคมในกรอบตาเรียวยาวจ้องลูกสาวคนโตเขม็ง คุณวรภพถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“หนูน่ะสิมีอะไรรึเปล่า ป๊าคุยด้วยตั้งนานไม่เห็นตอบอะไร”

“หา? ป๊าคุยกับรักเหรอ” ลิปสากะพริบตาปริบๆ มือซ้ายที่ว่างชี้เข้าหาตัวเองอย่างงุนงง พอมองสีหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารทั้งหมดแล้วก็ทำหน้าเหลอหลา

โอ้มายก็อด! ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีซีนเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงคนอื่นพูดด้วยเหมือนในนิยายหรือละครแบบนี้!

แต่จากสีหน้าเคร่งเครียดของบุพการีรวมถึงเจ้าน้องชายที่อายุห่างกันหกปีเต็ม หญิงสาวคิดว่าตัวเองไม่ควรดี๊ด๊าที่ได้มีซีนประหนึ่งนางเอกละคร จึงรีบตีหน้าขึงขังบ้าง

“รักคิดเรื่อง…งานอยู่น่ะค่ะ เมื่อกี้ป๊าว่าไงนะ”

ลิปสาไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิด แต่ที่แน่ๆ สีหน้าของพ่อดูเครียดขึ้นกว่าเดิมจนเธอเริ่มหวาดหวั่น และคำตอบก็มาพร้อมกับเสียงดังลั่นราวกับฟ้าผ่า

“ยังจะคิดเรื่องงานอยู่อีก! ป๊าถามเราว่าเมื่อไหร่จะกลับไปเรียนต่อ! จะไม่เรียนแล้วรึไงฮึ”

“ก็…รักบอกแล้วไงคะว่าจะทำงานหาเก็บเงินสักพักให้พอได้ค่าเทอมแล้วค่อยไปเรียนต่อ”

เรื่องการเรียนต่อของเธอถูกพูดคุยไว้นานมากแล้ว เพราะบิดาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการศึกษาและลิปสาเองก็มีความคิดอยากจะเรียนต่อปริญญาโทอยู่เหมือนกันจึงไม่ได้ค้านท่าน สิ่งเดียวที่เธอร้องขอคือการทำงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตและเก็บไว้จ่ายค่าเล่าเรียนเอง

“ไม่ต้องรอแล้ว! เดี๋ยวป๊าจ่ายให้เอง ขืนรอหนูเก็บเงินจะได้กลับไปเรียนเมื่อไหร่กัน นี่ทำงานมาเป็นปีมีเงินเก็บบ้างรึเปล่าเราน่ะ”

ใบหน้าคนฟังที่ก่อนหน้านี้สติมัวแต่จดจ่ออยู่กับบทสนทนาเมื่อวันก่อนถอดสีลง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ก้มหน้าไม่โต้เถียงอะไร และคล้ายกับว่านั่นจะทำให้บิดาอ่อนลง ท่านจึงกล่าวด้วยเสียงเบากว่าเมื่อครู่หลายระดับ

“รักแรกพบ…ป๊าให้โอกาสหนูได้ลองทำงานตามความฝันของตัวเองแล้วนะ แต่หนูก็น่าจะรู้ดีกว่าป๊าเสียอีกว่าทุกวันนี้วงการหนังสือมันซบเซามากแค่ไหน ขืนหนูดันทุรังทำไปเรื่อยๆ มันจะเวิร์กเหรอ ตอนนี้ป๊ายังอยู่กับหนู ดูแลซัพพอร์ตหนูได้ ป๊าก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับหนูนะลูก…เชื่อป๊า กลับไปเรียนต่อเถอะ อย่างน้อยมันก็จะเปิดโอกาสให้ชีวิตหนูได้มากกว่านี้”

ลูกสาวคนเดียวของบ้านเม้มปาก รู้ดีว่าทุกอย่างที่บิดากล่าวออกมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด

เอาแค่ระยะเวลาปีกว่าๆ ที่เธอทำงานมา รายได้ของสำนักพิมพ์ซึ่งเคยอยู่ในแถวหน้าของวงการยังตกฮวบฮาบลงมาตั้งมาก และไม่ใช่แค่เหนือฝันที่เดียวเท่านั้น เพราะหลายๆ สำนักพิมพ์ถึงกับต้องปิดตัวลง ดังนั้นอาชีพรีไรเตอร์ในวงการนิยายของเธอก็ดูไม่มั่นคงในสายตาบิดาจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า…

ลิปสาถอนหายใจ ความรักในอาชีพที่ทำประกอบกับทิฐิมานะซึ่งไม่อยากรบกวนบิดาในเรื่องค่าเล่าเรียนอีกทำให้หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมความกล้าเงยหน้าพูดกับท่าน

“ยังไงรักก็อยากเก็บเงินเรียนต่อด้วยตัวเอง รักไม่อยากรบกวนป๊า”

ทั้งที่ส่วนลึกของหัวใจภูมิใจที่ลูกมีความคิด มีความรับผิดชอบไม่อยากให้ท่านต้องลำบากส่งเสียเรียนต่อ แต่ความห่วงใยในอนาคตของลูกซึ่งมีมากกว่าก็ยังทำให้คุณวรภพตีหน้าเคร่ง ตบโต๊ะอาหารดังปังใหญ่จนทั้งลูกและเมียสะดุ้งโหยง

“ไม่ได้! ขืนเรายังทำไอ้อาชีพนี้อยู่แล้วเก็บเงินเรียนเอง จนป๊าตายก็ยังไม่ได้กลับไปเรียนเลยมั้ง!”

“ป๊า…” คุณชาลินีเรียกสามีเป็นเชิงปราม และรองศาสตราจารย์สุดเฮี้ยบแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็รู้สึกตัว แววตาอ่อนลงด้วยความรู้สึกผิดเมื่อเห็นน้ำตาของลูก หากทิฐิแห่งคนเป็นพ่อทำให้ท่านเลือกจะเมินหน้าไปอีกทาง ไม่ได้เอ่ยขอโทษออกไป

อีกครั้งแล้ว…

ลิปสากำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าผิวเนื้อ ดวงตาวาวรื้นแสดงรอยร้าวที่บิดามารดาไม่ทันเห็น

อีกครั้งแล้วที่พ่อเลือกทางเดินชีวิตให้ โดยไม่เคารพการตัดสินใจของเธอ

รู้…ว่าพ่อแม่ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก แต่พวกท่านจะรู้ไหม…ว่าบางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดของท่าน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเป็นลูก

หญิงสาวงับริมฝีปากสั่นระริกได้ทันก่อนหลุดคำถามที่ดังก้องอยู่ในใจมาตลอดหลายปี หูได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวพร้อมกับรู้สึกถึงไอร้อนระอุของเส้นเลือดในตัว มันคืออาการที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเธอต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ

ดังเช่นครั้งนี้

ลูกสาวในโอวาทของบิดามารดาปาดน้ำตาออก บอกด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

“รัก…จะไม่กลับไปเรียนตอนนี้”

ชายคนไทยเชื้อสายจีนหันกลับมามองลูกสาวซึ่งกำลังทำในสิ่งที่ ‘ขัดใจ’ ท่านอย่างรุนแรง และก่อนที่จะได้พูดอะไรอีก ลูกคนโตของบ้านก็ค่อยๆ ถอยเก้าอี้ออกพร้อมกับยืนยันความต้องการของตัวเอง

“รักจะทำงานที่รักรักต่อไป จะเก็บเงินจากงานที่รักเลือกและกลับไปเรียนต่อให้ได้ในสองปี และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ป๊ากับแม่ได้เห็นว่ารักโตพอจะดูแลรับผิดชอบอนาคตของตัวเองได้แล้วจริงๆ รัก…จะย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกด้วยตัวเองให้รอด!”

 

“โอ๊ยยย รักแรกพบบบ! แกพูดอะไรออกไปเนี่ย!”

หญิงสาวยกมือตบปากตัวเองแรงบ้างเบาบ้างสลับกัน ก่อนจะหันไปคว้าคุณอ้อมกอด ฝังใบหน้าลงกับพุงนุ่มนิ่มซึ่งในวันนี้มีเสื้อนอนแบบผู้ชายแขนยาวสีน้ำเงินเข้มห่อหุ้มอยู่บนตัว ขนาดของเสื้อนั้นใหญ่จนเธอต้องพับแขนเสื้อขึ้นหลายตลบถึงจะพอเห็นแขนนิ่มๆ สองข้างและขาของคุณอ้อมกอดเหลือโผล่พ้นชายเสื้อออกมาเพียงเล็กน้อย

ถ้าเป็นเวลาปกติโดยเฉพาะหลังจากที่ได้คุยกับมนายุในวันนั้น เวลาเห็นคุณอ้อมกอดในเสื้อนอนตัวนี้ทีไรลิปสาจะต้องเม้มปากทำหน้าเขินใส่ตุ๊กตาหมีอย่างอดไม่อยู่ เพราะเสื้อที่เธอนำมาใส่เพื่อปกปิดร่องรอยแห่งวันเวลาอันรุ่งริ่งของคุณอ้อมกอด คือหนึ่งในชุดนอนที่มนายุใส่เข้าฉากเรื่องกลหัวใจ ซึ่งหลังละครออกอากาศจบได้ราวเดือนเศษทางกองถ่ายก็นำเสื้อผ้าบางส่วนออกมาขายเพื่อนำเงินไปมอบให้มูลนิธิต่างๆ

และบังเอิญว่าวันนั้นลิปสาโชคดี…ที่ได้ชุดนอนชุดนี้มาในราคาเพียงห้าร้อยเก้าสิบบาท

แต่วันนี้การกอดคุณอ้อมกอดในชุดนอนของคุณยะก็ไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นเมื่อเธอเพิ่งปะทะคารมกับบิดาไปหมาดๆ

แถมยังพลั้งปากลั่นวาจาว่าจะออกไปอยู่ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอีกต่างหาก

“ทำไงดีอ่ะคุณอ้อมกอด รักพูดออกไปแล้วอ่ะ”

ลิปสาพึมพำกับเพื่อนที่อยู่กับเธอมาเท่ากับอายุรัฐนันท์ เงยหน้าขึ้นสบตาแป๋วแหววสีน้ำตาลเข้มของพี่หมีซึ่งเคยตัวโตกว่าเธอมาก กระชับอ้อมแขนพลางพึมพำ

“โอเค คือรักอาจจะคิดอยากออกไปอยู่คนเดียวอยู่บ่อยๆ แต่แบบ…ก็คือเงินเดือนไม่พอให้ทำแบบนั้นได้ไง แล้วนี่รักดันพูดกับป๊าไปแบบนั้น…”

ยิ่งย้อนคิดถึงคำพูดที่พูดออกไปด้วยแรงขับเคลื่อนของอารมณ์มากกว่าสติ รีไรเตอร์สาวก็ยิ่งอยากจะเอาหัวชนผนังตายให้จบๆ ไป

“ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูดนี่โคตรอายเลยนะ รักไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่อยากให้ป๊าเก็บมาว่าทีหลังว่าดีแต่พูด พูดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ถ้าให้ออกไปอยู่เอง…”

หญิงสาวถอนหายใจ ปล่อยตุ๊กตาหมีที่คอยรับฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ ออก พลิกตัวนอนหงายมองเพดานห้อง คำนวณถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมาหลังเธอออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารสามมื้ออีก…

“ตาย ตาย รักตายแน่ๆ เลย โอ๊ยยย”

ระหว่างที่ยังมืดแปดด้านไม่รู้จะรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองยังไง หญิงสาวก็แทบสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดนิยมดังขึ้นลั่นห้อง ลิปสาเบะปากค้อนใส่สมาร์ตโฟนเครื่องโปรด ค่อยๆ ยืดแขนไปหยิบมันมาจากหัวเตียง และทันทีที่เห็นรายชื่อคู่สนทนาบนหน้าจอ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาอีกหน

 

Asawa.Muen : ลองคิดดูรึยัง

 

คิดดูรึยังน่ะเหรอ

ก็คิดจนไม่ได้ฟังที่ป๊าพูดจนโดนดุใส่เลยยังไงล่ะ

หญิงสาวตอบคำถามนั้นในใจ แต่ระหว่างที่กำลังคิดว่าควรตอบเขาไปอย่างไร หลอดไฟแห่งความคิดในหัวก็สว่างวาบ เส้นเลือดในกายเดือดพล่านร้อนระอุพร้อมๆ กับที่หัวใจกระหน่ำรัวคล้ายตอนโต้เถียงกับบิดาเมื่อครู่

ใช่ บางทีทางออกของเธออาจจะอยู่ที่เขาก็ได้!

ไวเท่าความคิด ปลายนิ้วเรียวปลดล็อกหน้าจอ พิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

 

หนูรักแรก : ขอคุยรายละเอียดก่อนได้มั้ยคะ

 

มนายุมองคำตอบที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ ชายหนุ่มซึ่งใช้เวลาว่างอันน้อยนิดนอนดูภาพยนตร์เรื่องเก่าอยู่ในห้องนอนกดรีโมตหยุดการทำงานของโทรทัศน์ ขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง กดต่อสายถึงคู่สนทนาทันที

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com