ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 10 – บทที่ 11 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 10 – บทที่ 11

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 11 ข้อตกลงของคน (ที่อาจจะ) แต่งงานกัน

 ถ้าวันหนึ่งมองย้อนกลับมาแล้วคิดอยากจะนับเรื่องที่ใจกล้าบ้าบิ่นกระทำได้อย่างไร้สติที่สุดในชีวิต ลิปสาว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเรื่องนี้

ปึง!

หญิงสาวปิดประตูรถแท็กซี่สีฟ้าสดใสที่โบกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งใกล้กับที่นี่มากที่สุด เงยหน้าขึ้นมองอาคารปูนเปลือยทรงสี่เหลี่ยมสูงราวสี่ชั้น หลังรั้วเหล็กดัดสีดำโปร่งพอจะมองเห็นบรรยากาศด้านในอันเงียบสงบ ลานกว้างซึ่งคาดว่าคงเป็นลานจอดรถมีเพียงรถตู้สีดำคันใหญ่จอดอยู่อย่างเดียวดาย มีมนุษย์เพียงคนเดียวในละแวกนี้คือ รปภ. วัยราวสี่สิบเศษซึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆ ออกจากป้อมยามข้างประตูรั้วตรงมาหาเธอ

“สวัสดีครับ มาหาใครครับ”

ลิปสาละสายตาจากป้ายอักษร ‘Yggdrasil’s House’ สีน้ำตาลเข้มบนกำแพงปูนเปลือยสูงเกือบสามเมตร หันไปยิ้มเจื่อนให้กับคุณอา รปภ. แล้วเอ่ยตอบกลับไปตามที่ได้รับการเตี๊ยมเอาไว้

“คุณอิกด์ค่ะ”

“มาหาคุณอิกด์?” ผู้เข้าเวรประจำวันนี้หรี่ตามองหญิงสาวในชุดกางเกงยีนขายาวสีดำที่มีรอยขาดตรงหัวเข่ากับเสื้อยืดสีเดียวกันตัดกับรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา แม้ใบหน้าขาวหมดจดจะดูจิ้มลิ้มไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่าเมื่อเทียบกับนักแสดงในสังกัดหรือกระทั่งเด็กสาวที่เคยเดินเท้าเข้ามาสมัครก็ยังดูด้อยกว่ามาก

“เอ่อ…หนูชื่อลิปสาค่ะ พอดีนัดเอาไว้”

“อ๋อออ คุณลิปสา” รปภ. วัยกลางคนพยักหน้าหงึกหงัก นึกออกทันทีว่าก่อนหน้านี้ราวชั่วโมงเศษเจ้านายเพิ่งโทรศัพท์มาแจ้งว่าถ้าผู้หญิงชื่อลิปสามาเข้าพบสามารถปล่อยเข้าไปด้านในได้เลย

หลังสิ้นสุดการแลกบัตรประชาชนอันเป็นขั้นตอนพื้นฐานของการขอเข้าพื้นที่ส่วนบุคคล ประตูรั้วเหล็กดัดบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก ลิปสากระชับสายกระเป๋าเป้สีเดียวกับชุด สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วก้าวเท้าไปบนแผ่นหินซึ่งทอดตัวยาวสู่อาคารหลังใหญ่ และเพียงผลักบานประตูกระจกหนาเข้าไป คนที่นัดไว้จริงๆ ก็ยืนล้วงกระเป๋าส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว

ลิปสาเงยหน้าสบตาผู้ชายซึ่งสูงกว่าเธอร่วมยี่สิบเซนติเมตรด้วยแววตาไหววูบ มือเรียวเผลอกระชับสายกระเป๋าให้แน่นขึ้นจนกลายเป็นการกำมือตัวเองไว้ ขณะพยายามสะกดหัวใจให้เต้นช้าลงเป็นจังหวะปกติก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้

โอ๊ยยย ยายรักแรกพบ! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเหมือนสักหน่อย! จะใจเต้นแรงอะไรนักหนาเนี่ยยย

“มายังไงเนี่ย”

มนายุตัดสินใจเอ่ยปากทักก่อน เพราะดูทรงแล้วหากปล่อยให้หญิงสาวเอ่ยปากคงต้องรออีกพักใหญ่ ร่างสูงก้าวนำเข้าไปอย่างคุ้นเคยในสถานที่

“ก็…รถตู้ต่อเอ็มอาร์ที แล้วก็ต่อแท็กซี่ค่ะ”

“โห หลายต่อเหมือนกันแฮะ” พระเอกหนุ่มพึมพำ ผลักประตูห้องที่เตรียมไว้สำหรับ ‘พูดคุย’ เรื่องสำคัญออก ผายมือเชิญให้หญิงสาวก้าวเข้าไปก่อน ทว่าผู้มาเยือนกลับชะงักขาที่ขอบประตู ชะโงกเพียงศีรษะเข้าไปมองด้านในซึ่งพบเพียงเครื่องดนตรีวางเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบนัก

“เอ่อ…ไม่มีคนอื่นเหรอคะ”

“คนอื่นเหรอ” มนายุพึมพำ กระตุกยิ้มขำ “โอ๊ย เรื่องที่เราจะคุยกันนี่ความลับระดับชาติเลยนะ จะให้คนอื่นได้ยินได้ไงกัน”

หันไปเห็นใบหน้าซีดๆ กับแววตาตื่นตระหนกของเธอพระเอกหนุ่มก็เลิกคิ้วสูง คิดอะไรสนุกๆ ออกจึงแกล้งดันคนที่ตัวแข็งเกร็งเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูตามหลังดัง ‘ปัง’ จนร่างเล็กกว่าสะดุ้งโหยง หันกลับมามองเขาอย่างตื่นๆ

หนุ่มหน้าหวานเชิดหน้าขึ้นนิดๆ มุมปากแต้มรอยยิ้มร้ายเหมือนตอนเขาสวมบทบาทเป็นเจ้าชายหริทัศว์ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาวทีละนิด…ทีละนิด แต่แล้วคำเตือนก็ผ่านวาบเข้ามาในสมอง

เขาไม่ควรแกล้งเธอ

ชายหนุ่มชะงักขา รู้ตัวว่าหากแกล้งให้หญิงสาวกลัวขึ้นมาจริงๆ ข้อตกลงที่จำเป็นสำหรับเขาอาจจะไม่เกิดขึ้น

มนายุปรับสีหน้าท่าทางกลับมาเป็นปกติ หันไปเปิดตู้เย็นเล็กริมประตู เปลี่ยนเรื่องเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อีกเดี๋ยวแม่ผมจะตามมาน่ะ แบบว่าเรานัดกันกะทันหันท่านเลยมาไม่ทัน”

“อ้อ” ลิปสาพยักหน้ารับ เหลือบตาประเมินชายหนุ่มอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเดินตัวเกร็งไปนั่งบนโซฟาเดย์เบดสีแดงเบอร์กันดีตัวใหญ่โดดเด่นบนพื้นพรมสีเทาเข้ม ดวงตาใสแจ๋วกวาดมองเครื่องดนตรีหลายประเภท ทั้งที่เธอรู้จักอย่างกลองชุดกับคีย์บอร์ดและแยกไม่ค่อยออกอย่างกีตาร์หรือบางทีอาจจะเป็นเบส เดาได้ไม่ยากว่าที่นี่คงเป็นห้องซ้อมดนตรีของศิลปินในสังกัดอาตมัน

“เอาน้ำอะไรมั้ย มีเป๊ปซี่ โค้ก น้ำแดง น้ำส้ม แล้วก็น้ำเปล่า”

“เป๊ปซี่กระป๋องก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวตอบทั้งที่ดวงตายังมองไปทั่ว ก็ไม่ใช่ว่าห้องนี้มีขนาดใหญ่ ข้าวของเยอะจนมองอย่างไรก็ไม่ทั่วเสียที แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนต่างหาก

“ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามีเป็นกระป๋องหรือขวด” มนายุพึมพำ แต่มือก็คว้ากระป๋องสีน้ำเงินเย็นเฉียบออกมา ขายาวก้าวตรงไปยังโซฟา “อ่ะ”

พระเอกหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ กับที่เธอนั่ง วางกระป๋องน้ำอัดลมสีน้ำเงินลงบนโต๊ะเล็ก อดถามไม่ได้

“ให้เปิดให้รึเปล่า”

“หือ?” คนที่กำลังหยิบกระป๋องขึ้นเตรียมเปิดเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรค่ะ”

เสียงเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดัง ‘ป๊อก’ ก่อนลิปสาจะยกขึ้นดื่มแก้ประหม่า พอลดกระป๋องน้ำลงถึงได้เห็นว่าคู่สนทนามองเธออยู่ก่อนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะขยับตัวอย่างเกร็งๆ

“เอ่อ…ทำไมมองแบบนั้นคะ”

หนุ่มหน้าหวานอิงแผ่นหลังกับพนักโซฟาหนานุ่มอยู่ในท่ากอดอก ส่ายหน้ายิ้มๆ

“เปล่า แค่จะบอกว่าเธอไว้ใจคนง่ายเกินไปนะ”

“ฮะ? หมายถึง?”

“ก็ทั้งการที่เธอมาที่นี่คนเดียวจริงๆ แล้วก็ยังดื่มน้ำอัดลมลงไปง่ายๆ แบบนั้นไง…” มนายุขยับตัว ชะโงกหน้าไปใกล้วงหน้าจิ้มลิ้มที่ระดับความสวยหวานยังน้อยกว่าเขาอยู่…มาก กระซิบเตือนขณะจ้องลึกในดวงตาใสไหวระริก “ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

ลิปสาเม้มปาก ใบหน้าขาวซีดค่อยๆ ซ่านสีเลือด หลุบตาลงพึมพำ

“เราก็ไม่ได้ไว้ใจพร่ำเพรื่อนะ”

“อ้อ เพราะว่าเป็นผมเลยไว้ใจงั้นสิ?”

“ก็ไม่เชิง” รีไรเตอร์สาวถอนหายใจ พยายามข่มหัวใจให้เต้นในอัตราที่ช้าลง รวบรวมสติเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย “แบบว่าคนชื่อเสียงระดับเหมือนไม่น่าจะทำอะไรเรา”

“เนี่ยแหละที่บอกว่าไว้ใจคนง่ายไป” พระเอกหนุ่มส่ายหัวให้กับความอ่อนต่อโลกของคนตรงหน้า “นี่ จะบอกอะไรให้นะ ยิ่งคนดัง คนมีชื่อเสียง หรือคนที่น่าเชื่อถือน่ะ ยิ่งไม่ควรไว้ใจง่ายๆ รู้รึเปล่า ไม่เคยอ่านข่าวเหรอที่โดนดาราหลอกมาทำมิดีมิร้ายน่ะ…เฮ้! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมแค่เตือน ไม่ได้ขู่หรือจะทำจริงๆ ซะหน่อย” เขารีบพูดเมื่อหญิงสาวทำสีหน้าเหมือนระแวงขึ้นมา

“ไอ้กระป๋องนี้น่ะไม่มีอะไร แล้วนอกจากเรื่องที่จะคุยกันวันนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอีก สาบานได้”

“ก็นั่นไง” ลิปสาถอนหายใจ ท่าทางผ่อนคลายขึ้น “เพราะเรารู้ว่าเหมือนไม่มีทางทำอะไรเราหรอก เราเลยไม่ได้กลัวหรือระแวง…จนกระทั่งเหมือนพูดขึ้นมานี่แหละ”

“ประมาทอีกแล้ว” มนายุพึมพำ ตัดสินใจเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่เรื่องนี้จะยืดเยื้อ “ที่มานี่คือจะมาฟังรายละเอียดเกี่ยวกับ…การแต่งงานของเราใช่มั้ย”

ทั้งๆ ที่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก ไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องราวโรแมนติกอะไร แต่คำว่า ‘การแต่งงานของเรา’ ก็ยังทำให้หัวใจสองดวงเร่งอัตราการเต้นขึ้นด้วยกันทั้งคู่ ผิดกันแค่ฝ่ายชายผู้มีประสบการณ์การแสดงมาอย่างโชกโชนสามารถเก็บอาการได้ดีกว่า ใบหน้าหวานคมยังมีสีหน้าปกติ ดวงตามองตรงที่คู่สนทนาอย่างมาดมั่น สิ่งผิดปกติอย่างเดียวที่มนายุไม่สามารถควบคุมได้คือสีแดงระเรื่อบนใบหู ส่วนฝ่ายหญิงกลับมีท่าทางชัดเจนกว่า ทั้งใบหน้าแดงจัดและการเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่…เขา

“ก็…อื้อ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าเรายังไม่ได้ตกลงว่าจะแต่งงานกับเหมือน!” ลิปสารีบบอกก่อนฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจว่าเธอตอบตกลงแน่นอน ทั้งที่จริงๆ แล้วการตัดสินใจมาคุยกับเขามันแทบจะหมายความว่าเธอตกลงใจไปกว่าครึ่งแล้ว

แต่เธอก็ยังต้องการฟังรายละเอียดของการแต่งงานครั้งนี้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ตน ‘รับได้’ หรือ ‘รับไม่ได้’

“โอเค ตามนั้น” มนายุพยักหน้ารับ มือเรียวล้วงกระเป๋ากางเกงคว้าสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะเล็ก พอเห็นเธอทำท่าสงสัยก็บอก “ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจเธอนะ แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แล้วเรื่องนี้ก็ค่อนข้างสำคัญ มันคงไม่ดีถ้ามีข่าวหลุดออกไป ดังนั้น…ช่วยวางมือถือลงบนโต๊ะด้วย”

ลิปสานิ่งงันไปวูบหนึ่ง ใจหนึ่งอยากจะโกรธที่เขาระแวงเธอแบบนั้น แต่อีกใจที่ยังพอมีเหตุมีผลอยู่บ้างกลับรู้สึกว่าถ้ามองในมุมของมนายุ…การที่บุคคลมีชื่อเสียงระดับเขาจะระวังไว้ก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ดังนั้นแม้สีหน้าจะไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยอมหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมา ปลดล็อกหน้าจอแล้วปิดทีละแอพพลิเคชั่นให้พระเอกคนดังดู และยังเทของในกระเป๋าเป้ออกมากองบนโต๊ะเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบทสนทนาในวันนี้จะไม่ถูกบันทึกไว้อย่างแน่นอน

“นี่ประชดรึเปล่าเนี่ย” หนุ่มหน้าหวานพึมพำปนหัวเราะขณะมองกระเป๋าสตางค์ หูฟัง แว่นกันแดด กระดาษ ทิชชู ร่ม ลูกอม สายชาร์จแบตฯ พาวเวอร์แบงก์ และสร้อยข้อมือเส้นบางไหลออกมากองบนโต๊ะกระจก แล้วก็ต้องหัวเราะดังขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ

“ก็นิดนึง” หญิงสาวยักไหล่ วางกระเป๋าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะข้างๆ ข้าวของมากมาย

“หึๆ”

มนายุส่ายหัว มองคนที่กำลังล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างให้เขาเห็นว่ามันว่างเปล่าอย่างพิจารณา ก่อนจะกระแอมกระไอและปรับท่าทีเป็นงานเป็นการขึ้นขณะคว้าแล็ปท็อปขึ้นมากรอกรหัสผ่าน พอแน่ใจว่าเปิดไฟล์ที่ต้องการอยู่เขาก็ส่งมันให้กับคนข้างๆ

“นี่เป็นรายละเอียดจากฝั่งผม…คือพอเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วมันอาจจะงงๆ หน่อย ยังไงอ่านไปแล้วก็ฟังผมไปละกันนะ…ข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือ…” มนายุเน้นเสียงหนัก เว้นจังหวะการพูดเพื่อให้คู่สนทนารับรู้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้นสำคัญ “เราจะแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น แล้วก็ลับๆ ด้วย”

“หือ?” ลิปสาเงยหน้าจากตัวอักษรยาวเป็นพืดที่ชวนให้รีไรเตอร์สาวนึกหงุดหงิด อยากจะจัดหน้ากระดาษให้เป็นระเบียบขึ้นมองคนที่ร่างข้อความไว้ พอเห็นสายตาของเขาเธอก็รีบบอก “คือไม่ได้แปลกใจที่เราแต่งงานกันในนามหรือแต่งแบบลับๆ อันที่จริง…” หญิงสาวกลอกตา ยอมรับตามตรง “เราสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าพระเอกซุป’ตาร์ระดับเหมือน มนายุจะแต่งงานได้จริงๆ เหรอ”

ลิปสาว่า ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับ “มันก็ต้องแต่งได้จริงๆ แหละ อย่างที่เธอรู้ว่าผมมีความจำเป็นต้องแต่งงานเพราะเรื่องดวงเบญจเพสซึ่งมันก็…ดูงี่เง่าเนอะ” พระเอกหนุ่มยิ้มเครียด ถอนหายใจหนักๆ อย่างคนเริ่มปลง “เราต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกันหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน แต่การแต่งงานครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการบ่มเพาะความสัมพันธ์ของเรา ผมรู้ว่ามันคงเป็นการฝืนและเอาเปรียบกันเกินไปหากเราจะต้องใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงานทั่วไป”

ลิปสาคิดตามและพยักหน้ารับ

“อ่าฮะ”

“และด้วยสถานะของผม…กับการแต่งงานที่มีอายุขัยแค่ปีนิดๆ แบบนี้ ถ้ามีข่าวการแต่งงานแล้วหย่าหลุดออกไปมันคงไม่ดี”

“…มากๆ เลย” หญิงสาวต่อคำให้ เพียงแค่คิดถึงปัญหาที่เธอคิดมาตลอดตั้งแต่มนายุเอ่ยขอแต่งงานวันนั้นก็ทำท่าขนลุก “แล้วมันก็ไม่ดีกับชีวิตของเราด้วยแน่ๆ”

“ใช่…มันไม่ดีกับชีวิตเราทั้งคู่ กับเธอเองอย่าว่าแต่ไปถึงขั้นหย่าเลย แค่เปิดตัวในฐานะคู่รักของผม ภรรยาของผม ชีวิตก็หาความสงบสุขไม่เจอแล้ว”

“อือ จริง” ลิปสาคิดไปถึงข่าวคราวของบรรดาพระเอกดังที่เปิดตัวคนรักซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยเพ้อฝันว่าสักวันหนึ่งอาจเป็นคิวของเธอกับมนายุ แต่พอมันเฉียดใกล้ความจริงขึ้นมาผู้หญิงธรรมดาโลกส่วนตัวสูงที่รักสงบแบบเธอ…รู้ตัวเลยว่าจะทนรับกระแสคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนร้อยพ่อพันแม่ไม่ไหวแน่ๆ จึงรีบพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “เราเห็นด้วย ต้องเหยียบให้มิด”

“ในเมื่อจะจัดงานทำพิธีเปิดเผยให้คนทั่วไปรับรู้สถานภาพแต่งงานไม่ได้ จะให้ใช้ชีวิตคู่แบบ…สามีภรรยาทั่วไปก็ไม่ได้อีก ผมเลยคิดว่า…” มนายุสูดลมหายใจลึก สบตาคู่สนทนานิ่งๆ “เราจะจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่กันเหมือน…พวกคู่แต่งงานในละคร”

หญิงสาวที่เติบโตมากับนิยายและละครโทรทัศน์จำนวนมากมายซึ่งมีพล็อตแต่งงานกันด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่ใช่ความรักขมวดคิ้ว พยักหน้าอีกหน

“หมายถึงใช้ชีวิตคู่ในนาม ไม่ได้มี…” ประโยคที่กำลังจะหลุดจากปากชะงัก ใบหน้าคนพูดแดงซ่าน อึกอักจนพูดไม่จบประโยค

ความจริงแล้วมนายุจะต่อประโยคที่เธอพูดไม่จบออกไปตรงๆ ชัดๆ เลยก็ได้ ผู้ชายวัยเกือบเบญจเพสซึ่งผ่านความสัมพันธ์ชู้สาวมาประมาณหนึ่งไม่ได้เก้อเขินกระดากปากอะไร แต่เห็นสีหน้าคนฟังแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจใช้คำเลี่ยงๆ ให้ดูซอฟต์ขึ้น

“อื้อ นั่นแหละ โดยที่ไม่มี…ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา”

“อ้อ โอเค อันนี้เก็ต” อาจจะด้วยความเคยชินทางอาชีพ ปลายนิ้วเรียวยาวพิมพ์แก้ไขข้อความในโปรแกรมเวิร์ดด้วยความช่ำชอง พอกวาดสายตามองจนแน่ใจว่าเข้าใจได้ง่ายกว่าที่พระเอกหนุ่มเขียนตอนแรกก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นมองมนายุอีกครั้ง “เดี๋ยว…ถ้าเราจดทะเบียนกันมันจะยุ่งยากนะ ไหนจะเรื่องเอกสาร ชื่อนามสกุลเรา ไหนจะเสี่ยงความแตกง่ายๆ อีก”

ลิปสาคิดไปถึงกรณีการแต่งงานของน้องรหัสที่สามารถเก็บเงียบมาได้หลายปีจึงรีบเสนอ

“เออ แต่ถ้าเป็นการจดทะเบียนที่เราใช้นางสาวกับนามสกุลเดิมน่าจะไม่มีปัญหาอะไร…มั้ง”

อย่างน้อยคนรอบตัวเธอก็น่าจะไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยขึ้นมา

“ผมก็คิดไว้ประมาณนั้น”

เขาคิดไว้แต่ไม่ได้เขียนลงไป เพราะกลัวเธอจะรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบที่การแต่งงานครั้งนี้นอกจากจะไม่มีใครรับรู้แล้ว ยังไม่ได้รับกระทั่งนามสกุลจากเขา

“ส่วนเรื่องจดทะเบียน…ผมจะหาเจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้มาจดให้เรา”

“อ่าฮะ แล้วที่ว่าใช้ชีวิตคู่ด้วยกันนี่หมายถึงว่าเราต้องอยู่…ด้วยกัน…งั้นเหรอ แล้วแบบนี้มันจะไม่เสี่ยงเป็นข่าวเหรอคะ”

แม้เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจมาที่นี่คือหวังจะหา ‘ที่อยู่ฟรีชั่วคราว’ แต่พอคิดไปคิดมาถ้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ ด้วยชื่อเสียงของมนายุมีสิทธิ์โดนจับได้และกลายเป็นข่าวสูงมาก

เพียงแค่คิดถึงพาดหัวข่าวตามเว็บไซต์และแฟนเพจต่างๆ รวมทั้งคอมเมนต์มากมายมหาศาลซึ่งส่วนใหญ่คงไม่พ้นแง่ลบ หญิงสาวก็ชักจะใจฝ่อ อยากกลืนศักดิ์ศรีลงคอกลับไปง้อบิดาแทน

“เรื่องนั้นผมเตรียมไว้แล้วแหละ มันเป็นคอนโดฯ ที่ค่อนข้างพิเศษ” มนายุนิ่ง มองว่าที่ภรรยาสะเดาะเคราะห์อย่างชั่งใจ สุดท้ายก็กล่าวไปกลางๆ โดยเว้นความพิเศษที่สุดเอาไว้ “ถ้ามองจากด้านนอกจะเหมือนแค่เราอยู่ห้องข้างกันเฉยๆ แต่ด้านใน…” ชายหนุ่มลากเสียง ไม่ได้เอ่ยต่อ แต่คนฟังก็พยักหน้ารับ

“อ๋อ แบบข้างในเชื่อมถึงกันงี้ งั้นน่าจะไม่มีปัญหา…มั้ง”

‘น่าจะไม่มีปัญหา…มั้ง’ อีกแล้ว

พระเอกหนุ่มคิดในใจกับประโยคที่เธอหลุดออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ถ้ามองจากข้างนอกเป็นสองห้องแสดงว่านอนแยกกันเนอะ”

ขืนให้ไปนอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกันกับมนายุเธอตายแน่นอน

หัวใจวายตายน่ะ!

“โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นแบบนั้น”

แม้จะสะกิดใจกับคำว่า ‘โดยส่วนใหญ่’ อยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยเลยตามเลยหญิงสาวจึงไม่ได้ซักไซ้ประเด็นนี้ต่อ ที่สำคัญคือในสมองดันมีเรื่องสำคัญแทรกขึ้นมาจนต้องรีบถามออกไปก่อนจะลืม

“เออใช่ แล้วถ้าแบบนี้แฟนเหมือนจะไม่มีปัญหาเหรอ เราไม่อยากเป็นมือที่สาม แล้วก็ไม่อยากทำผิดศีลธรรมนะ”

ช่วงปลายปีก่อนมนายุออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าเขามีผู้หญิงที่ ‘คุยๆ กันอยู่’ ซึ่งในภาษาดาราคำว่าคุยๆ กันสามารถแปลเป็นภาษาคนปกติได้ว่า ‘แฟน’ นั่นทำให้ลิปสาที่ชอบเขามาหลายปีถึงกับอกหักไปพักหนึ่ง ก่อนจะทำใจได้แล้วกลับมาติ่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเว้นระยะห่างไม่ให้คลั่งไคล้จนผิดต่อศีลธรรมในใจ

ถึงแม้ช่วงต้นปีหนุ่มหน้าหวานจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ‘ห่าง’ กับคนเดิมแล้ว ซึ่งแปลเป็นภาษาปกติว่า ‘เลิกกัน’ แม้จะเสียใจกับสีหน้าเศร้าๆ ของพระเอกคนโปรด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอค่อนข้างดีใจที่สามารถติ่งได้โดยไม่ต้องเกรงใจว่ากำลังผิดศีลธรรมด้วยการเรียกแฟนชาวบ้านว่า ‘สามี’

อย่างไรก็ตามรีไรเตอร์สาวเดาว่าด้วยรูปร่างหน้าตาและสถานะอย่างมนายุเขาไม่น่าจะโสดสนิทอยู่นาน อย่างน้อยน่าจะมีคนคุยๆ กันอยู่บ้าง และถ้าเธอจะแต่งงานสะเดาะเคราะห์กับคนที่มีคนคุยๆ กันอยู่ แบบนี้จะเรียกว่าแย่งแฟนชาวบ้านรึเปล่านะ

เห็นสีหน้าท่าทางของหญิงสาว มนายุก็พอเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ พระเอกหนุ่มส่ายหน้าอย่างนึกโกรธ

“คิดอะไรเนี่ย!”

นี่เธอคิดว่าเขาเป็นคนยังไงกัน ถ้ามีแฟนแล้วจะมาขอเธอแต่งงานหรือไง

จริงอยู่ว่าในช่วงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเขาอาจจะเคยคุยกับสาวๆ หลายคนพร้อมกันตามประสาหนุ่มโสดเสน่ห์แรง แต่ยังไม่ศีลธรรมต่ำขนาดขอผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานทั้งๆ ที่ยังคุยกับผู้หญิงคนอื่นอยู่

“ผมไม่ได้ศีลธรรมต่ำขนาดนั้นนะ!”

“อ้าว! เราก็ไม่ได้ว่าเหมือนศีลธรรมต่ำ แต่แบบว่า…” ลิปสาอึกอัก เห็นสีหน้าโกรธของชายหนุ่มแล้วใจฝ่อ เพิ่งรู้ว่าเวลาหนุ่มหน้าหวานท่าทางอะเลิร์ตๆ อย่างมนายุโกรธ…ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

เห็นท่าทางของเธอแล้วมนายุก็ผ่อนลมหายใจ สองมือลูบใบหน้า ลดอารมณ์ลง

มันไม่ได้ผิดเลยที่เธอจะสงสัยและถามขึ้นมา เพราะความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน ที่แปลกคือไอ้ความผิดหวังที่เขามีนี่แหละ หรือว่าเพราะอินที่กำลังคุยเรื่องแต่งงานแล้วอยู่ดีๆ ว่าที่เจ้าสาวดันถามเหมือนระแวงความซื่อสัตย์ของเขานะ?

มนายุตอบตัวเองไม่ได้ว่าอะไรทำให้คนใจเย็นอย่างเขาเกิดเสียอาการขึ้นมา

“ตอนนี้ผมโสดแบบโสดร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เลิกกับคนก่อนก็ไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย…อาจจะเพราะปีนี้มีแต่เรื่องมั้งเลยไม่ทันคิด”

อีกเหตุผลสำคัญที่มนายุไม่ได้บอกไป คือเขารับรู้ว่าเลาๆ ตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าอาจจะต้องแต่งงานกับใครบางคนเพื่อสะเดาะเคราะห์เบญจเพสเลยไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้คุยกับใคร ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองคนข้างๆ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

คนที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘คุย’ ที่สุดก็เธอนี่แหละ

จริงสิ

“แล้วเธอล่ะ มีแฟนหรือว่าคุยๆ กับใครอยู่รึเปล่า”

ทั้งที่รู้ดีว่าคำถามของเขาไม่ได้เกิดขึ้นความสนใจเชิงเสน่หาใดๆ แต่ลิปสาก็ยังอดใจเต้นแรงจนน่าโมโหไม่ได้

ไม่มี ไม่เคยมี และคาดว่าอนาคตจะขึ้นคานชัวร์ๆ ด้วย

นั่นคือคำตอบในใจ แต่ภายนอกหญิงสาวกระแอม ตีหน้าเคร่ง ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบ

“ถ้ามีเราคงไม่มาคุยกับเหมือนที่นี่หรอก”

“เท่ากับว่าตอนนี้ถ้า…แต่งงานกันจริงๆ เราก็ไม่ได้ผิดศีลข้อสามกันทั้งคู่” พระเอกซุป’ตาร์พยักหน้ารับ เพิกเฉยต่อความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นกับหัวข้อถัดไป “งั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทีหลัง เรามาตกลงเรื่องนี้กันเลยดีกว่าว่าหลังแต่งงานจะเอายังไง”

ลิปสานิ่วหน้า คุยไปคุยมาทำไมเหมือนเธอตกลงแน่ๆ แล้วว่าจะแต่งงานกับเขาเนี่ย

“อือฮึ” เธอผงกหัว กวาดตามองแล้วพบว่าในหน้ากระดาษบนจอไม่ได้ใส่รายละเอียดเรื่องนี้ไว้ จึงทำท่าเหมือนตั้งใจพิมพ์ลงไปเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นแปลกๆ ในอก “ฮึ่ม เหมือนว่ามาได้เลย”

มนายุทำหน้านิ่ง มองคนที่แทบจะซ่อนหน้าอยู่หลังจอแล็ปท็อป ซึ่งแม้ว่าเธอจะพยายามเนียนแค่ไหนเขาก็ยังเห็นความเขินอายที่ปิดไม่มิดนั่น

“อืม สำหรับผมนะ ผมค่อนข้างศรัทธาคำว่าครอบครัว โตมากับการเห็นป๊ากับแม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ผมเคยคิดไว้เสมอว่าถ้าแต่งงานแล้วจะซื่อสัตย์กับคู่ครองของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมาแต่งงานประหลาดๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งพอมันเป็นแบบนี้ผมก็เลย…” ชายหนุ่มจงใจทอดจังหวะ แอบยิ้มเมื่อว่าที่คู่ครองชั่วคราวยอมโผล่หน้าออกมาจากจอแล็ปท็อป “…ก็เลยตั้งใจไว้ว่าตลอดชีวิตสมรสหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวันของเรา ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เข้าข่ายจะนอกใจ”

มนายุขยับตัวเข้าไปใกล้คู่สนทนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องลึกไปยังดวงตาไหวระริก เอ่ยย้ำชัดหนักแน่น

“ผมจะไม่คุยเชิงชู้สาวกับใครไม่ว่าจะทีจริง ทีเล่น หรือหยอกๆ ไม่มีแฟน แล้วก็ไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับใคร…เด็ด-ขาด”

ลิปสากัดริมฝีปาก ความจริงจังและจริงใจในดวงตาคู่สวยที่มาพร้อมกับคำพูดราวคำมั่นสัญญาปลุกเร้าความหวั่นไหวจนหัวใจเผลอเต้นระรัว หญิงสาวหลุบตาหนี

หลังสะกดความเขินอายแล้วลิปสาก็เงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างมั่นใจ

“เพื่อความแฟร์ เราตกลงตามนั้น ระหว่างที่เรายังคงสถานะคู่สมรสกันอยู่ เรา…จะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงให้เกิดการผิดศีลข้อสามขึ้นมาเช่นกัน”

ว่าที่คู่แต่งงานด้วยเหตุผลสุดประหลาดสบตากัน ต่างมองเห็นความจริงใจในดวงตาของคู่สนทนา จึงค่อยๆ เชื่อมั่นและคาดหวังว่าหากการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นจริง…ชีวิตคู่ของพวกเขาจะไม่เกิดปัญหามือที่สามขึ้น

“โอเค งั้นเรามาคุยดีเทลอื่นต่อ”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com