LOVE
ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 12 – บทที่ 13
บทที่ 12 เหตุผลที่คน (อื่น) แต่งงานกัน
สองหนุ่มสาวใช้ระยะเวลาหลังจากนั้นคุยเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่กันอีกพักใหญ่ จนลิปสาเริ่มไม่แน่ใจว่าหรือจริงๆ เธอตอบตกลงแต่งงานไปแล้ว ไม่ใช่แค่มานั่งฟังก่อนตัดสินใจอย่างที่คิดไว้กันแน่ ระหว่างการสนทนาคุณมัทนาโทรศัพท์เข้ามาครั้งหนึ่งเพื่อขอโทษเพราะท่านตัดสินใจจะอยู่เป็นเพื่อนสามีที่มีอาการปวดหัวเล็กน้อย แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีนักที่สุดท้ายแล้วมีแค่เธอกับพระเอกหนุ่มเพียงลำพัง แต่จะให้ท่านทิ้งสามีและนั่งรถมาทั้งที่เธอกับเขาคุยกันไปตั้งมากแล้วก็ใช่เรื่อง
ผ่านไปเกือบชั่วโมงมนายุก็สั่งพริ้นต์กระดาษที่ร่างข้อตกลงระหว่างกันออกมาคนละชุด ลิปสากวาดตามองไล่หาคำผิดตามความเคยชิน ก่อนจะพับกระดาษเอสี่สองใบลงกระเป๋า
“โอเค น่าจะไม่มีอะไรแล้วเนอะ” หญิงสาวชำเลืองมองข้อความที่มารดาถามว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านหรือเปล่า ทั้งที่เหตุการณ์เมื่อกลางวันทำให้ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับบิดาสักเท่าไหร่นัก แต่ลิปสารู้ดีว่าถ้าเธอไม่กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน…เรื่องราวจะลุกลามไปกันใหญ่ จึงกลั้นใจพิมพ์ตอบไปว่ากำลังจะกลับ จากนั้นก็หันมาตั้งหน้าตั้งตาโกยของใส่กระเป๋า ก่อนจะเงยหน้ามองมนายุอย่างลังเล
จะบอกเขา…ดีไหมนะ ถึงความเป็นเทพีแห่งหายนะของเธอ
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ นั่งพูดคุยเรื่องรายละเอียดการแต่งงานกับมนายุ หลายครั้งที่เธออยากบอกเขาเรื่องดวงหายนะของตัวเอง แต่สุดท้าย…เธอก็ตัดสินใจแบบเดิม
เธอไม่กล้าบอกเขา
ลิปสาลอบถอนหายใจ สลัดความรู้สึกนั้นทิ้ง หันไปบอกลา
“เรากลับแล้วนะ สวัสดีค่ะ” คนอายุน้อยกว่าเกือบปียกมือไหว้ด้วยความเคยชิน จนมนายุที่นั่งอ่านรายละเอียดอยู่ใกล้ๆ ยกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน
“อ่า…ครับ กลับดีๆ นะ”
เอ๊ะ…ขามาเธอบอกว่านั่งแท็กซี่เข้ามาที่ออฟฟิศใช่ไหมนะ หรือบางทีเขาควรไปส่งเธอรึเปล่า
พระเอกหนุ่มขมวดคิ้ว ชั่งใจว่าถ้าขับรถออกไปส่งเธอที่สถานีรถไฟฟ้าจะเสี่ยงเป็นข่าวโดยไม่ตั้งใจหรือไม่ แต่พอคิดถึงรถตู้อเนกประสงค์คันใหญ่ติดฟิล์มดำรอบด้านซึ่งปกติเนตราจะเป็นคนขับให้แต่วันนี้เขาขับออกมาเอง ก็ขยับจะหยิบกุญแจที่โยนทิ้งไว้บนโต๊ะตัวเดียวกับที่หญิงสาวเทข้าวของออกมากองเมื่อครู่แล้วก็ต้องชะงัก
ไม่ใช่เพราะว่าที่เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์เผลอหยิบมันใส่กระเป๋าลงไป แต่เป็นเพราะเธอลืมอะไรบางอย่างทิ้งไว้บนนั้นต่างหาก
“เดี๋ยวก่อนฮะ” มนายุส่งเสียงรั้งคนที่ก้าวไปจนถึงประตูห้องแล้ว มือแข็งแรงยื่นไปคว้าสร้อยข้อมือสีเงินเส้นเล็กขึ้นมา เขย่าเบาๆ จนเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งพลางส่งยิ้มให้ “เธอลืมสร้อยนี่น่ะ”
ลิปสาชะงักในท่าที่มือหนึ่งยังจับลูกบิดประตูไว้ ดวงตาเบิกกว้างไม่ได้มองใบหน้าหวานคมที่ชื่นชมมาหลายปี หากจับจ้องไปยังสร้อยเส้นเล็กในมือเขา ริมฝีปากอิ่มเผยอออกเหมือนทุกครั้งที่กำลังตกใจหรือประหลาดใจกับบางอย่าง
และใช่…ตอนนี้มันมีเรื่องให้เธอทั้งประหลาดใจและตกใจปนๆ กัน
หญิงสาวปล่อยมือจากลูกบิด เดินกลับมาหยุดห่างจากพระเอกหนุ่มไม่กี่ก้าว หูได้ยินเสียงกระพรวนดังกรุ๊งกริ๊งไปตามแรงสะบัดมือของมนายุ หากคล้ายจะได้ยินเสียงบทสนทนาในวันวาน
‘…ถ้าลื้อได้เจออีเมื่อไหร่ กระพรวนใบนี้ก็จะส่งเสียงบอกให้ลื้อได้รู้เอง’
‘หา?…กระพรวนเนี่ยจะดังเฉพาะตอนเจอเจ้ากรรมนายเวรเหรอคะ’ ดวงตากลมมองสร้อยข้อมือที่ถืออยู่ พึมพำอย่างไม่เชื่อถือ ‘โห โคตรแฟนตาซีอ่ะ อย่างกับกระพรวนมรณะในซีรี่ส์เลย’
วันนั้นเธอยอมซื้อสร้อยข้อมือกลับมาเพียงเพราะชื่นชอบในความสวยของมันโดยไม่เคยเชื่อในเรื่องแฟนตาซีอย่างการที่มันจะดังเฉพาะเวลาเจอเจ้ากรรมนายเวรอะไรนั่น และตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้…กระพรวนลูกเล็กที่ห้อยติดกับจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวก็เพิ่งส่งเสียงดังเป็นครั้งแรก…ในมือของมนายุ!
มายก็อดดด! เธอคิดว่ามันเป็นกระพรวนปลอมที่โดนย้อมแมวหลอกขายมาตลอดเสียอีก!
หญิงสาวหัวใจเต้นแรง เผลอทำตัวเสียมารยาทด้วยการตะปบคว้าสร้อยคืนมาจากมือของพระเอกคนโปรด ดวงตาจับจ้องไปที่มันด้วยความตื่นเต้นปนไม่อยากเชื่อ
“ดัง…ดังจริงๆ เหรอเนี่ย!”
มนายุย่นคิ้วมองคนที่แย่งของไปจากมือเขาอย่างไร้มารยาทด้วยความโกรธนิดๆ แต่ประหลาดใจมากกว่าเมื่อเธอเขย่าสร้อยข้อมืออย่างเอาเป็นเอาตายจนดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ไม่หยุด ดวงตาคู่สวยหรี่สำรวจอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองมุมไหน…ก็สวยน้อยกว่าเขา เห็นร่องรอยอารมณ์เปลี่ยนไปมาระหว่างตกใจ ตื่นเต้น สับสน ดีใจ และไม่อยากจะเชื่ออยู่ในที
กะอีแค่กระพรวนดังจะหลากอารมณ์อะไรขนาดนั้น
“เหมือนก็ได้ยินเสียงกระพรวนใช่มั้ยคะ! มันดังจริงๆ ใช่มั้ย”
ทั้งที่เสียงกระพรวนยังดังก้องไปพร้อมแรงเขย่า แต่หญิงสาวยังอดทำตัวขาดสติด้วยการถามย้ำกับคนข้างๆ อย่างตื่นเต้นไม่ได้
“อือใช่ ก็…ได้ยินนะ ชัดเต็มสองหูเลย…ทำไมต้องดีใจขนาดนี้เนี่ย” ท้ายประโยคพระเอกหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัยจัด
“มันเพิ่งดังตอนเจอเหมือน เอ๊ะ…แล้วครั้งก่อนๆ ที่เจอกัน…”
ลิปสาพึมพำ ขมวดคิ้วขณะหวนไล่ย้อนถึงความทรงจำครั้งก่อนๆ ที่เจอมนายุว่าทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินเสียงกระพรวนดังเลยสักครั้ง ก่อนหลอดไฟแห่งปัญญาจะสว่างวาบในหัว
ครั้งสุดท้ายที่จำได้ว่าเธอสวมสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นตอนไปเที่ยวกาญจนบุรีกับปรียาวตี ซึ่งเป็นตอนที่เจอมนายุครั้งแรกนับตั้งแต่ซื้อสร้อยมา ทว่าการพบกันในครั้งนั้นเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ในสถานการณ์ลุ้นระทึก เธอมัวห่วงว่าเขาจะเป็นอันตรายรึเปล่า ถ้ากระพรวนมันดังแล้วเธอไม่ได้ยินคงไม่แปลกอะไร หลังจากนั้นก่อนจะลงเล่นน้ำตกใกล้รีสอร์ตหญิงสาวก็ถอดสร้อยเก็บไว้ในเป้และ…
…ไม่เคยหยิบมันออกมาอีกเลย
จริงๆ คือลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเก็บไว้ไหน ถ้าวันนี้ไม่บังเอิญหยิบเป้ที่ใช้ตอนไปเที่ยวกาญจนบุรีมาและเทของออกมาจนเกลี้ยงกระเป๋า เธอคงยังไม่รู้ว่าลืมสร้อยไว้ที่ไหน และไม่รู้ว่าในที่สุด…กระพรวนมันก็ดังขึ้นแล้ว
ดวงตาคู่ใสละสายตาจากสร้อยข้อมือเส้นโปรด หัวใจเต้นรัวยามเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงกว่า ความเป็นไปได้เดียวปรากฏในสมอง
หรือว่ามนายุ…จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เธอต้องแก้กรรมด้วย!
…
เงียบ ไม่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังออกมาเหมือนตอนอยู่กับมนายุเลย
ลิปสาถอนหายใจ มองสร้อยเงินเส้นบางที่กลับมาอยู่บนข้อมือซ้ายของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะเขย่าอย่างไร…กระพรวนใบจิ๋วก็ไม่ส่งเสียงออกมาสักกริ๊งเดียว
หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำหน้ากับหมอนใบโต พออยู่ว่างๆ สมองก็เริ่มเล่นภาพเหตุการณ์ตอนที่มนายุขับรถตู้อเนกประสงค์คันใหญ่ออกมาส่ง ช่วงที่รถติดอยู่แยกไฟแดงก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้าพระเอกหนุ่มซึ่งทำหน้าที่พลขับอยู่เบาะหน้าสุดก็ทำเสียงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนเอี้ยวตัวหันกลับมาถามเธอซึ่งนั่งอยู่บริเวณเบาะโดยสารแถวแรก
‘เออใช่ คือผมก็ไม่อยากถามอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่ก็อยากคุยกันให้เคลียร์ๆ เลยว่าถ้าสมมติว่าเรา…แต่งงานกันจริงๆ เธออยากเรียกร้องค่าตอบแทนเท่าไหร่’
‘ฮะ? อะไรนะ’ คนที่พยายามใส่สร้อยกลับไปบนข้อมือซ้ายอยู่นานเงยหน้าขึ้นถาม ซึ่งไม่รู้ว่ามนายุรำคาญหรือเห็นใจในความพยายามที่ไม่ประสบผลสำเร็จสักที เมื่อชะโงกดูแล้วว่าตัวเลขแดงๆ ตรงสี่แยกยังอยู่อีกเกือบร้อยวินาที ชายหนุ่มก็หันกลับมาคว้าสร้อยข้อมือและช่วยใส่ให้ นัยน์ตาคู่โตหลุบมองข้อมือที่เล็กกว่ากันถึงครึ่งก่อนเหลือบขึ้นมองหน้า
‘ผมถามว่าเธอจะเรียกร้องค่าตอบแทนเท่าไหร่ คือผมรู้ว่าถึงเราจะแต่งงานกันเงียบๆ จนถ้าเป็นไปได้พอจบเรื่องแล้วเรื่องที่เธอแต่งงานก็จะยังเป็นความลับตลอดไป แต่ยังไงซะสิ่งที่เธอเสียคือชีวิตสมรสทางกฎหมายครั้งแรก มัน…สำคัญกับผู้หญิงมากๆ นี่นา’
ทั้งที่คำพูดของมนายุมันเป็นเหตุเป็นผลและยังเกิดจากความห่วงใยในสถานภาพสมรสครั้งแรกที่เธอต้องสูญเสียไปหากตกลงแต่งงานกับเขา แต่ไม่รู้ทำไมในหัวคนฟังกลับขาวโพลนพร้อมกับมีไอร้อนระอุขึ้นในตัว ความโกรธพลุ่งพล่านจนเผลอชักข้อมือกลับอย่างเสียมารยาท ทว่าพอเห็นสีหน้าเหวอๆ ของพระเอกหนุ่ม ลิปสาก็คล้ายตั้งสติได้ รีบเอ่ยปากขอโทษ
‘ขอโทษค่ะ พอดีเรา…ตกใจนิดหน่อยอ่ะ ไม่คิดว่าเหมือนจะพูดเรื่อง…ค่าตอบแทนขึ้นมา’
พระเอกหนุ่มสำรวจสีหน้าคู่สนทนาอย่างระมัดระวัง พอเริ่มเข้าใจบางอย่างก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอีกระดับ
‘คือผมไม่ได้อยากให้เธอรู้สึกไม่ดีนะ ไม่ได้คิดจะดูถูกหรือมองว่าเป็นการแต่งงานแลกเปลี่ยนซื้อขายผลประโยชน์อะไร เพราะผมรู้ดีว่าสำหรับผู้หญิงหลายๆ คน การแต่งงานมันมีค่ามากกว่าเงินจะซื้อได้ แต่…ผมก็ไม่อยากเอาเปรียบเธอ’
อารมณ์ฉุนเฉียวที่กระทั่งตัวเธอเองยังไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร แต่มนายุกลับมองออกได้ในพริบตาสลายลงเพราะความจริงใจในนัยน์ตาสีเข้ม หญิงสาวผ่อนลมหายใจ หางตาเหลือบเห็นสัญญาณไฟจราจรที่ใกล้จะเปลี่ยนเต็มทนจึงรีบสะกิด
‘จะไฟเขียวแล้วค่ะ’
มนายุมองเธออยู่อึดใจก็หันกลับไปขับรถต่อและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คล้ายเว้นจังหวะให้เธอได้ปรับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง จนพาหนะราคาเจ็ดหลักปลายๆ เคลื่อนไปจอดยังสถานีรถไฟฟ้า หญิงสาวที่สำรวจว่าไม่ได้ลืมข้าวของอะไรไว้ก็ยกมือไหว้ลา
‘ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง แล้วก็…ค่าตอบแทนจากการแต่งงานในกรณีที่เราตกลง…เราจะลองเก็บไปคิดดูนะ คือถามตอนนี้ก็ตอบไม่ถูกอ่ะ’
ในบรรดานิสัยที่คนรอบข้างมักชอบพูดว่าแปลกประหลาดของลิปสามีนิสัยหนึ่งที่กระทั่งเธอเองยังรู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ นั่นคือเวลาต้องการความคิดเห็นในเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระอย่างเช่นเสื้อปาดไหล่สีขาวตัวนั้นหรือเสื้อลายทางสีขาวฟ้าเว้าไหล่ตัวโน้นดีกว่ากัน ลิปสีชมพูอมส้มแบบนี้ดีหรือสีพีชสวยกว่า การเปรียบเทียบสิ่งของสองสิ่งที่เธอรู้สึกชอบพอๆ กันจนลังเลอยู่นาน จนตัดสินใจไม่ได้สักที หญิงสาวมักร้อนรนทักขอความคิดเห็นจากคนสนิทไปทั่ว และสุดท้าย…ปรียาวตีเคยเบะปากมองบนแล้วกระแทกเสียงใส่ว่าต่อให้ความคิดเห็นของคนทั้งหมดจะไปในทิศทางเดียวกัน…แต่ลิปสาก็มักจะเลือกอีกสิ่งโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญคอขาดบาดตายชนิดที่ควรปรึกษาคนรอบข้างมากๆ ลิปสากลับชอบเก็บไว้คิดเอง ตัดสินใจเองโดยไม่ยอมถามความคิดเห็นใคร จะบอกก็ต่อเมื่อตัดสินใจไปจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้เธอเองก็มองว่ามันเป็นแปลกและเป็นข้อเสีย กระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถบังคับตัวเองให้เปลี่ยนแปลงความเคยชินนี้ได้ และเรื่องล่าสุดที่เข้าข่าย ‘เรื่องสำคัญที่ไม่ปรึกษาใคร’ ก็คือคำขอแต่งงานพิลึกพิลั่นจากสามีมโนของเธอ
แม้จะผ่านมาสามวันแล้วนับจากวันที่เข้าไปคุยเรื่องข้อตกลงเกี่ยวกับการแต่งงานมา แต่ลิปสาก็ยังคิดไม่ตกว่าเธอควรจะตัดสินใจอย่างไร ถ้ามองเผินๆ แล้วการแต่งงานครั้งนี้มีแต่ข้อดีและเป็นประโยชน์กับเธออย่างมหาศาล แรกสุดและสำคัญสุดคือโอกาสในการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่เธอพร่ำเพ้อหามาตลอดเกือบห้าปีอันเป็นโอกาสทองที่ไม่ใช่ว่าใครจะได้รับ ไหนจะเรื่องที่พักอาศัยซึ่งมนายุยืนยันว่าเธอจะได้พักในคอนโดมิเนียมที่ห่างจากสำนักพิมพ์เพียงสองสถานีรถไฟฟ้าแบบฟรีๆ เป็นการแก้ปัญหาการปากดีประกาศออกไปอยู่นอกบ้านทั้งที่เงินเดือนเรี่ยดินได้เป็นอย่างดี
และที่สำคัญที่สุด…ถ้าคำทำนายของซินแสหมิงเป็นเรื่องจริงและกระพรวนนั่นไม่ใช่เรื่องแหกตา มนายุคือเจ้ากรรมนายเวรที่ลิปสาต้องแก้กรรมด้วย การแต่งงานเพื่อช่วยเหลือตามที่เขาร้องขอก็คงจะช่วยให้ชีวิตนับจากนี้ของเธอไม่ซวยหนักเท่าที่ผ่านมา…ล่ะมั้งนะ
ทั้งที่ดูมีแต่ข้อดีเต็มไปหมดจนใจกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เธอเองก็ตอบตกลงไปแล้ว แต่อีกสิบเปอร์เซ็นต์กลับเต็มไปด้วยความกลัว ความลังเล และความหวั่นไหวต่ออนาคตที่จะต้องเผชิญหากตอบตกลงแต่งงานกับมนายุ
ไหนจะการสูญเสียชีวิตสมรสทางกฎหมายครั้งแรกที่รู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งมันจะต้องจบลง หนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวันนับจากวันที่แต่งงานเธอจะกลายเป็นม่าย เป็นผู้หญิงที่เคยแต่งงานแล้วและจบลงด้วยการหย่า ลิปสาก็เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆ ไปซึ่งวาดฝันว่าถ้าเธอมีโอกาสได้แต่งงาน…ก็อยากจะให้มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ไม่ปรารถนาให้ชีวิตสมรสต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง
ไหนจะต้องย้ายจากครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดไปใช้ชีวิตใกล้ชิดกับผู้ชายที่แม้ว่าเธอจะรู้จักและหลงใหลคลั่งไคล้เขาจนเคยมโนว่าวันหนึ่งต้องได้เขามาเป็นสามี ทว่าเอาเข้าจริงแล้วลิปสากลับไม่รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของมนายุแม้แต่น้อย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายใต้ภาพลักษณ์หล่อ ทะเล้น น่ารัก และขี้อ้อนของเขาซุกซ่อนนิสัยร้ายกาจอะไรที่เธอรับไม่ได้เอาไว้รึเปล่า ยิ่งทุกวันนี้มีข่าวการข่มขืนเกิดขึ้นแทบจะวันเว้นวัน ถึงดูๆ แล้วโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นกับเธอมีต่ำมาก เพราะเท่าที่คุยกันมาเขาดูไม่ได้มีลักษณะของผู้ชายที่จะทำอะไรแบบนั้น แถมด้วยสถานะของพระเอกอันดับต้นๆ ของช่องสามสิบเจ็ด มนายุสามารถหาผู้หญิงที่เต็มใจเป็นของเขาได้มากมาย ทว่า…เธอก็ต้องเผื่อเปอร์เซ็นต์ไว้สำหรับความโชคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อมนุษย์เพศชายและหญิงวัยเจริญพันธุ์ต้องอยู่ร่วมกัน
และไม่อยากจะยอมรับเลยว่าสิ่งที่เธอกลัวที่สุดในการตอบตกลงแต่งงานกับมนายุ ก็คือสถานะทางสังคมและชื่อเสียงของเขา หญิงสาวเคยเสพข่าวมาไม่น้อยที่พระเอกในวงการบันเทิงเปิดตัวคนรักที่เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ซึ่งแฟนคลับและคนทั่วไปมองว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลย จากนั้นประวัติชีวิตที่ผ่านมาของผู้หญิงคนนั้นก็ถูกขุดลากยาวขึ้นมาให้คนทั้งประเทศวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่แคร์ว่าคนโดนนั้นจะรู้สึกยังไง เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง…ลิปสาค่อนข้างมั่นใจว่าภาพลักษณ์ของเธอไม่มีปัญหา เธอไม่เคยมีเรื่องทะเลาะตบตีแย่งผู้ชายกับใคร ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสุรายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ผับบาร์หน้าตาเป็นอย่างไรชีวิตนี้ก็เคยเห็นแค่จากในละครโทรทัศน์ แอลกอฮอล์ที่รู้จักก็มาจากในนิยาย ผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมากจนไม่สามารถนำมาตำหนิได้ ไม่เคยมีข่าวเสียหายหรือเรื่องราวรักใคร่กับผู้ชายหน้าไหนจนอาจจะโดนแฟนเก่าออกมาแหกได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอโดนด่าได้ชัวร์ๆ ก็คือหน้าตาซึ่งถ้าหากวัดกันเองในหมู่สามัญชนคนธรรมดาเธอก็ไม่ถือว่าขี้เหร่ พอมีคนหลงผิดมาจีบอยู่บ้าง แต่ถ้าหากมีข่าวกับพระเอกคนดังคงไม่แคล้วต้องถูกเอาไปเทียบกับสาวๆ ในวงการ ซึ่งอย่าว่าแต่บรรดานางเอกคู่จิ้นทั้งหลายของเขาเลย แค่ตัวมนายุเองก็สวยกว่าเธอไม่รู้กี่ขุมแล้ว
ด้วยเกียรติประวัติที่ผ่านมาลิปสามั่นใจว่าถ้าเทียบกับคนธรรมดาด้วยกันประวัติของเธอก็พอให้เชิดหน้าชูตาได้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเกิดมีข่าวเรื่องการแต่งงานหรือกระทั่งคบหากับมนายุหลุดออกไป…ความเพอร์เฟ็กต์ในระดับสามัญชนของเธอจะถูกทำลายลงจนย่อยยับ กลายเป็นมนุษย์ที่มีแต่จุดบอด จุดด้อย ไม่คู่ควรกับมนายุผู้สูงส่งสง่างามในสายตาแฟนคลับทันที
เธอไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ไม่ได้ขายความเป็นส่วนตัวเพื่อแลกกับชื่อเสียงและเม็ดเงินมหาศาล และไม่อยากเป็นเป้าถูกโจมตีเพียงเพราะดันไปยุ่งกับคนดังเข้า ซึ่งทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปทันที…ถ้าเธอตกลงแต่งงานกับมนายุ
“แต่ง…ไม่แต่ง…แต่ง…ไม่แต่ง…”
กลีบปากอิ่มพึมพำพลางฉีกทิชชูสีชมพูเล่นอย่างคนไร้สติ รู้สึกอยากปรึกษาใครสักคนที่เธอไว้ใจเอามากๆ ซึ่งตัวเลือกเดียวที่ปรากฏในหัวก็คือปรียาวตี…เพื่อนซี้ที่ตอนนี้หนีเข้าถ้ำไปปั่นต้นฉบับอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เฮ้ออออ”
หญิงสาวถอนหายใจแรง โยนเศษกระดาษทิ้งพลางฟุบหน้าลงกับท่อนแขน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าปฏิกิริยาของตัวเองสร้างความตกใจให้กับคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
หฤทชนันเหลือบตามองพี่รหัสผู้มีท่าทางแปลกๆ มาหลายวันด้วยสีหน้าหนักใจ สะใภ้ตระกูลดังซึ่งยังใช้ชีวิตแบบคนทั่วๆ ไป กินร้านอาหารธรรมดาข้างทางอย่างไม่ติดขัดตัดสินใจเอื้อมมือไปสะกิด
“เอ่อ…พี่รักเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
รีไรเตอร์สาวเงยหน้าขึ้นมองน้องรหัส นิ่งคิดอยู่นานก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรงจนคนฝั่งตรงข้ามสะดุ้งโหยงกับการขยับตัวอย่างรวดเร็วของเธอ ลิปสายิ้มแหยเป็นเชิงขออภัย รีบคว้ามือรุ่นน้องไว้แน่น
“นิ่ม พี่ถามอะไรหน่อยได้มั้ย คือมันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวนะ ถ้านิ่มไม่สะดวกจะตอบก็บอกได้เลย”
“พี่รักถามมาได้เลยค่ะ ถ้านิ่มตอบได้นิ่มจะตอบแน่นอน”
“จริงนะ”
“จริงค่ะ” บ.ก. สาวพยักหน้ารับหนักแน่น หวังว่าคำตอบของหล่อนจะช่วยให้พี่รหัสสุดที่รักกลับมาเป็นปกติไวๆ เพราะลิปสาที่เป็นแบบนี้…ทำให้หล่อนค่อนข้างกลัวนิดหน่อย
ลิปสาสูดลมหายใจลึก ไล้ปลายนิ้วกับแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้ายของรุ่นน้อง เงยหน้าตั้งคำถามเสียงกระซิบ
“นิ่มเคยเล่าให้พี่ฟังว่าจริงๆ แล้วแต่งงานกับคุณภพตั้งแต่จบ ม.ปลาย แล้วใช่มั้ย”
หฤทชนันเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าคำถามจะเกี่ยวข้องกับชีวิตสมรสของตัวเอง กระนั้นคนที่เพิ่งฉลองมงคลสมรสและถือโอกาสเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อมาเป็น ‘นาง’ ได้ไม่เท่าไหร่ก็พยักหน้ารับ สีหน้าเขินอายนิดๆ
“เอ้อ…ค่ะ นิ่มจดทะเบียนแล้วก็เข้าพิธีแต่งงานกับพี่ภพเป็นการภายในตั้งแต่จบ ม.หก ได้ไม่นาน”
“พี่ถามหน่อยสิว่าอะไรทำให้นิ่มตัดสินใจแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้น หรือว่ารักคุณภพมากจนอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไวๆ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น…นิ่มก็ไม่น่าจะปิดเรื่องมีแฟนรึเปล่า” ลิปสาขมวดคิ้ว ถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจนัก เพราะจำได้ว่าตลอดระยะเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยแม้หฤทชนันจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวหรือให้ความหวังผู้ชายคนไหน แต่น้องรหัสก็ไม่ได้เปิดตัวว่ามีคนรักอยู่แล้ว
ผู้หญิงที่เปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามีเกือบห้าปีนิ่งงันกับคำถามนั้น ดวงตาคู่สวยสบตาพี่รหัสที่อยู่ดีๆ ก็ถามเรื่องส่วนตัวอย่างผิดวิสัยด้วยสีหน้าพิกล นิ่งคิดก่อนตัดสินใจตอบตามความจริงอย่างที่เคยคิดไว้ว่าคงไม่ได้พูดมันกับใคร
“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่พี่รักที่นิ่มรักเหมือนพี่สาวแท้ๆ นิ่มจะไม่ตอบคำถามนี้แน่ๆ ค่ะ” หฤทชนันถอนหายใจ “จริงๆ แล้ว…ตอนนั้นที่แต่งงานกัน นิ่มยังไม่ได้…รักพี่ภพหรอกนะคะ เราเพิ่งรู้จักกันผ่านๆ ได้ไม่นานเอง”
ทั้งที่ยังมองลิปสาอยู่ แต่ความคิดของหฤทชนันกลับลอยย้อนกลับไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ภพสยามและภักดิ์สยามมาปรากฏตัวที่บ้านของหล่อนช่วงเกือบๆ จบ ม.ห้า พวกเขาพูดคุยอะไรบางอย่างที่ทำให้พ่อแม่มีสีหน้าไม่สบายใจนัก จากนั้นภพสยามก็มักจะปรากฏตัวที่บ้านบ่อยๆ พูดคุยกับหล่อนบ้างแต่ไม่ได้รุกล้ำเข้ามาทำความสนิทสนมอะไรด้วย แต่แล้วหลังหล่อนสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายของชีวิตมัธยมเสร็จ เขาก็ตั้งคำถามที่เด็กสาวในอดีตไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ฟังมันจากปากชายหนุ่มตระกูลดัง
‘นิ่ม…แต่งงานกับพี่ได้รึเปล่า’
หญิงสาวคลี่ยิ้ม เล่าต่อ
“ที่จริงถ้าเล่าไปแล้วมันก็จะดูละครหน่อยๆ นะพี่รัก คือรุ่นปู่ย่าตายายของเรามีสัญญาแต่งงานที่ทำไม่สำเร็จ รุ่นพ่อแม่ก็ยังต่างคนต่างเลือกทางเดินของตัวเอง จนกระทั่ง…คุณย่าของพี่ภพท่านป่วยด้วยโรคร้ายและขอร้องให้หลานชายช่วยทำให้สัญญาระหว่างสองตระกูลลุล่วงก่อนท่านจะเสีย ตอนนั้นพี่ภักดิ์กำลังดังมาก พี่ภาก็มีคู่หมายอย่างพี่มกราแล้ว พี่ภพเลยตัดสินใจขอนิ่มแต่งงานค่ะ”
“ไม่ได้แต่งกันเพราะ…” รัก…เหรอเนี่ย
คนฟังกลืนประโยคหลังๆ ลงคอ มองน้องรหัสด้วยสีหน้าทึ่งกว่าเดิม
เหตุผลการแต่งงานของหฤทชนันกับภพสยาม พิริยะพัฒน์ หนึ่งในแฝดสามคนดังนั้นอาจจะดู ‘ละค้อนละคร’ อย่างที่น้องรหัสออกตัวก็จริง แต่พอเทียบกันกับเหตุผลที่มนายุขอเธอแต่งงานแล้ว…
ลิปสากลอกตาอย่างห้ามไม่อยู่ เผลอถอนใจหนึ่งเฮือก
ก็ยังดูปกติกว่าของเธอน่ะแหละ
“อือฮึ นิ่มไม่ได้แต่งงานกับพี่ภพเพราะรักหรอกค่ะ…เจอกันสิบกว่าครั้งเองมั้ง จะรักจนอยากแต่งงานด้วยได้ยังไงล่ะเนอะ” หฤทชนันฉีกยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรที่ในอดีต…หล่อนไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก หากจำนวนครั้งที่น้องรหัสและสามีได้พบกันก็ยังมากกว่าลิปสากับผู้ชายที่ขอเธอแต่งงานอยู่ดี
“พี่ภพเขาแต่งงานเพื่อให้คุณย่าสบายใจและมีกำลังใจเข้ารับการรักษาตัวต่อไป ส่วนนิ่ม…” หญิงสาวหยุดไปอึดใจ ใคร่ครวญถึงเรื่องราวในวันเก่าแล้วอมยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับบ่งบอกให้รู้ว่าการตัดสินใจแต่งงานของเด็กสาววัยสิบแปดเฉียดๆ สิบเก้านั้นไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับฝืนใจ “พี่รักน่าจะพอรู้ว่านิ่มเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงระบบปิด ทั้งพ่อทั้งเจ้าแฝด…ทั้งห่วงทั้งหวงจนทำให้นิ่มรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นสักเท่าไหร่ เรียนเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน ถ้าโรงเรียนมีกิจกรรมเลิกเย็นก็จะมีคนนั่งเฝ้า รอกลับบ้านพร้อมกัน ใจนึงมันก็ดีนะคะที่ครอบครัวรักเราขนาดนั้น แต่นิ่มรู้ว่าพี่รักเข้าใจว่าบางทีมันก็อึดอัดจนนิ่มถึงกับตัดสินใจจะแอดมิชชั่นเข้ามหา’ลัยต่างจังหวัดเพื่อไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็อย่างที่เคยเล่าให้พี่รักฟังว่า…” รุ่นน้องยักไหล่ “ไม่ได้ไป พี่ภพบอกนิ่มว่าถ้านิ่มยอมแต่งงานกับเขา พี่ภพจะให้สิ่งที่นิ่มใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต”
ลิปสามองลึกเข้าไปในดวงตาเป็นประกาย ไล่นึกหาว่าอะไรคือสิ่งที่หฤทชนันต้องการจนทำให้เด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีโอกาสกระทั่งตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยด้วยตัวเองตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายที่หล่อนไม่ได้รัก
จริงอยู่ว่าภพสยาม พิริยะพัฒน์อาจจะมีพร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ และนิสัยใจคอที่เห็นผ่านๆ ว่าใช้ได้จนเข้าข่ายชายหนุ่มสมบูรณ์แบบที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝันถึง ทว่าหญิงสาวไม่คิดว่าหฤทชนันจะตัดสินใจเลือกเพราะหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น
“พี่ภพบอกว่าจะให้อิสรภาพกับนิ่ม นับจากนี้…นิ่มจะมีสิทธิ์ตัดสินใจชีวิตด้วยตัวเอง ถ้านิ่มอยากไปไหน…พี่ภพจะไม่ห้าม อยากทำอะไร…พี่ภพจะให้ทำ ขอแค่นิ่มบอกกับพี่ภพก่อนก็พอ เรื่องเดียวที่พี่ภพขอคือระหว่างที่เราแต่งงานกัน ห้ามนิ่มมองผู้ชายคนอื่นหรือรู้สึกอะไรกับใคร เขาขอแค่ความซื่อสัตย์จากนิ่มเท่านั้น” นึกถึงสีหน้าจริงจังของสามีที่อายุมากกว่ากันเจ็ดปีแล้วหฤทชนันก็หลุดหัวเราะ “เชื่อมั้ยคะว่านิ่มใช้เวลาคิดแค่สามวันก็ตัดสินใจรับปากแต่งงานกับพี่ภพทันทีเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยที่นิ่มดื้อกับพ่อ จะแต่งงานกับพี่ภพให้ได้”
หฤทชนันยังจำสีหน้าบึ้งตึงและสงครามเย็นที่หล่อนต้องเผชิญนับตั้งแต่ตัดสินใจจะแต่งงานกับภพสยาม จนกระทั่งถึงวันจดทะเบียนสมรสได้ติดตา ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณยายผู้ล่วงลับกับคำสัญญาว่าถ้าหากหล่อนตอบตกลงจะไม่ขัดขวางค้ำคออยู่…เชื่อเลยว่าพ่อของหล่อนคงไล่ตะเพิดภพสยามและชาวพิริยะพัฒน์ไปตั้งแต่วันแรกแล้ว
ลิปสามองสีหน้าเปี่ยมด้วยความสุขสดใสแล้วไล่นึกย้อนความทรงจำเก่าๆ ที่มีร่วมกับหฤทชนัน พยายามนึกว่าสีหน้าท่าทางที่ผ่านมาของรุ่นน้องเป็นอย่างไร และพบว่าใบหน้านวลน่ารักล้วนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนคนไม่เคยเจอความทุกข์โศกใดๆ แสดงให้เห็นว่าชีวิตแต่งงานของน้องรหัสไม่ได้เลวร้ายอะไร
“แล้ว…นิ่มไม่กลัวเหรอ” ลิปสาถามในสิ่งที่ทำให้เธอหวั่นใจมากที่สุด “ตอนนั้นนิ่มยังเด็กมาก เพิ่งจบ ม.ปลาย เอง ไม่กลัวเหรอว่าจะมีคนรู้เรื่องการแต่งงานแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คือบ้านคุณภพเขาก็ไม่ธรรมดาอ่ะ ดังกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่”
อดีตเจ้าสาววัยสิบแปดกว่าๆ นิ่งเพื่อทบทวนเรื่องราวในวันเก่า ก่อนจะคลี่ยิ้ม ตอบเสียงเบา
“กลัวสิคะ”
“หือ?”
ถ้ากลัว…แล้วทำไมถึงยังตัดสินใจแต่งงาน
ปากเธอไม่ได้ถามออกไป แต่ราวกับว่าหฤทชนันจะได้ยินคำถามนั้น เพราะน้องรหัสรีบอธิบายต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ตอนนั้นน่ะนิ่มกลัวมากเลยนะ ก็อย่างที่พี่รักว่า บ้านพี่ภพเขาดังมากๆ ตั้งแต่ป๊าแล้ว แถมตอนเล็กๆ พวกเขาพี่น้องยังเคยมีเรียลลิตี้เป็นของตัวเองอีกต่างหาก…ถ้าข่าวหลุดออกไป ทั้งสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน ทั้งอายุของนิ่มคงกลายเป็นที่วิจารณ์กันสนุกปาก คงโดนแซะจนทั้งนิ่มและครอบครัวไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ แต่…” สะใภ้คนโตแห่งพิริยะพัฒน์รุ่นล่าสุดยักไหล่ ส่ายหัวอย่างขำๆ ตัวเอง “เอาเข้าจริงนิ่มก็จำไม่ได้แล้วว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ตัดสินใจเสี่ยงแต่งงานกับพี่ภพ อาจจะเพราะได้เห็นอาการของคุณย่าท่านด้วย อาจจะอยากได้อิสรภาพที่โหยหามาตลอดด้วย แล้วก็คงเพราะ…เชื่อใจพี่ภพด้วยมั้งคะ ว่าเขาจะปกป้องนิ่ม ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เป็นความลับได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ”
เชื่อใจ…เหตุผลหลักที่ทำให้หล่อนกล้าที่จะเสี่ยง
“ตลกเหมือนกันเนอะที่นิ่มเชื่อใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานได้ แต่ก็…” บ.ก. สาวยักไหล่อีกครั้ง “โชคดีที่ตัดสินใจไม่พลาด” ดวงตาเรียวสบตารุ่นพี่ เปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “นิ่มไม่รู้นะคะว่าทำไมอยู่ดีๆ พี่รักถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่พี่รักเครียดรึเปล่า แต่นิ่มก็หวังว่าคำตอบบางอย่างที่พี่รักได้รับ…จะทำให้เรื่องเครียดๆ ของพี่รักหายไปได้นะคะ”
ลิปสาอมยิ้ม รับรู้ความรักความหวังดีที่อีกฝ่ายมอบให้จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นบีบแก้มนุ่มของรุ่นน้องด้วยความเอ็นดู
“โอเคจ้าาา ขอบคุณนะน้องรักของพี่ แหม! นี่ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจสามีของนิ่ม พี่จะขอกอดแน่นๆ สักที”
ทั้งๆ ที่เขาตัดสินใจเอ่ยปากขอเธอแต่งงาน มั่นใจในระดับหนึ่งว่าถ้าหากหนูรักแรกของแม่ตอบตกลง…เขาจะจดทะเบียนสมรสกับเธอทันที จริงจังกับมันจนถึงขั้นเข้าไปดู ‘เรือนหอ’ ที่ Heaven’s House แล้วด้วยซ้ำ แต่ลึกลงไป…มนายุก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีความลังเลลอยวนอยู่ในใจ
จะแต่งงานจริงๆ เหรอเหมือน
เสียงกระซิบถามดังมาจากส่วนลึก พระเอกหนุ่มไม่แน่ใจมันคือฝั่งเดวิลหรือแองเจิล
จะแต่งงานกับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักไม่นานเพียงแค่เพื่อสะเดาะเคราะห์ทั้งๆ ที่แกกำลังโคตรดังเนี่ยนะ? เธอไว้ใจได้แน่เหรอ แน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะเก็บเรื่องการแต่งงานครั้งนี้เป็นความลับ ถ้ามีข่าวหลุดออกไป…อนาคตของแกจะเป็นยังไง คิดบ้างรึเปล่า
หลายครั้งที่เขาตั้งคำถามกับตัวเอง หลายหนที่นึกอยากเปลี่ยนใจขอยกเลิกทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้ตอบตกลง แต่เมื่อมองเห็นบิดาที่แม้จะประสบอุบัติเหตุเพราะเขาแต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษหรือคิดบังคับให้ต้องแต่งงานสะเดาะเคราะห์ เห็นมารดาซึ่งใบหน้าแววตามีแต่ความห่วงใยมอบให้ มนายุก็กลืนความคิดดังกล่าวลงไป สับสนวนไปเวียนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น” หนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองนับนิรันดร์ ชายหนุ่มผู้โด่งดังจากบทบาทมัจจุราชผู้มั่นคงในความรักในซีรี่ส์แจ้งเกิดชุดเดียวกับเขา ผู้ชายนัยน์ตาสีแปลกเจ้าของใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ชายที่เฉือนตัดหน้าเขารับรางวัลหนุ่มโสดในฝันเกือบทุกเวทีติดต่อกันหลายปีซ้อนจนกระทั่งเจ้าตัวประกาศแต่งงานกับสาวนอกวงการกลางเวทีประกาศรางวัลครั้งสุดท้าย
ตอนนั้นอายุเท่าไหร่กันนะ
มนายุนึกคำนวณอายุของพระเอกรุ่นพี่ที่แต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว
น่าจะสัก…ยี่สิบเจ็ดรึเปล่า
สำหรับผู้ชายทั่วไปอายุยี่สิบเจ็ดอาจจะถือว่าเหมาะสมที่จะเริ่มสร้างครอบครัว แต่อย่างที่บอก…นับนิรันดร์ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา แต่เป็นผู้ชายที่ผู้ชายด้วยกันอย่างเขายังยอมรับในรูปร่างหน้าตาและความสามารถ ทั้งยังไม่เกิดความอิจฉาชิงชังสักนิดที่อีกฝ่ายปาดหน้าชิงไปหลายรางวัล
“ทำไมตอนนั้นเฮียตัดสินใจแต่งงาน”
คนที่ต่อให้แต่งงานไปแล้วก็ยังยืนอยู่แถวหน้าของวงการบันเทิง ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายเลิกคิ้ว นัยน์ตาสีอำพันสวยแปลกมองรุ่นน้องอย่างสงสัย
“ทำไมอยู่ดีๆ ก็ถามเนี่ย”
“นี่เราเล่นเกมถาม ‘ทำไม’ กันอยู่ป้ะเนี่ย” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะ ส่ายศีรษะแล้วถามต่อในสิ่งที่ตอนแรกเขาแค่หลุดปากถาม แต่ตอนนี้เริ่มอยากได้คำตอบจริงจัง
ว่าอะไร…ทำให้ผู้ชายที่ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ตัดสินใจเสี่ยงหมดอนาคตในวงการบันเทิงด้วยการแต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง
“เฮีย ยังไม่ได้ตอบเลยนะว่าตกลงทำไมรีบแต่งงานจัง เฮียไม่กลัว…ดับเหรอ”
หนุ่มหน้าสวยอมยิ้ม ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะหัวเข่าภายใต้กางเกงยีนสีดำขาดๆ ของตัวเองเป็นจังหวะ
“อืม ถ้าถามจริงๆ ก็คือไม่กลัว” นับนิรันดร์นึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีต นัยน์ตาอ่อนแสงแต้มประกายแห่งความสุขยามคิดถึงใบหน้าของภรรยา “เรากับคุณอาจต่างกันนิดหน่อย สำหรับเรางานในวงการก็สำคัญนะ มันทำให้คนไม่เคยมีตัวตนอย่างเรากลายเป็นที่รู้จัก เป็นคนสำคัญที่ได้รับความรักจากผู้คนมากมาย มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษ…” ผู้ชายอายุมากกว่ายิ้มกว้างขึ้นอีกนิด รู้สึกขอบคุณความรักที่แฟนคลับจำนวนมากมอบให้กับคนที่ไม่เคยมีใครรักอย่างเขา
แม้การแทนตัวเองว่า ‘เรา’ และเรียกเขาว่า ‘คุณ’ อาจเป็นการจับคู่คำที่ฟังดูแปลกหู แต่สำหรับคนที่รู้จักกันมาหลายปีอย่างมนายุกลับเคยชินและไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใดๆ
แต่วันนี้คำแทนตัวของนับนิรันดร์กลับทำให้มนายุไพล่ไปนึกถึงใครอีกคน ผู้หญิงที่เวลาคุยกับเขาจะแทนตัวเองว่า ‘เรา’ ตลอด ทั้งที่ตอนคุยกับแม่เขาก็แทนตัวเองว่า ‘รัก’ อย่างน่าฟัง และถ้าจำไม่ผิด…ดูเหมือนเธอจะเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยนิดที่ออกเสียง ร เรือ ชัดทุกคำจนเขาฟังแล้วสะดุดหูตั้งแต่สนทนากันครั้งแรก
“ทุกอย่างที่ได้มามันอาจจะสำคัญมากจนเราไม่อยากเสียมันไป แต่…” นับนิรันดร์ยักไหล่ “เรารู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้วันนึงมันต้องหายไป ทุกอย่างมันต้องจบลง”
มนายุสะบัดหัวไล่ภาพผู้หญิงที่เขาขอแต่งงานออกไป ปรับโฟกัสไปที่คำตอบของนับนิรันดร์ เข้าใจว่ารุ่นพี่คงหมายถึงไม่มีใครโด่งดังค้ำฟ้า ต่อให้เส้นทางสายนี้จะยืดยาวเพียงไรวันหนึ่งก็ต้องจบลง
“ถ้าต้องเลือกระหว่างสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าวันนึงต้องจบลงกับการมีโอกาสได้กลายเป็นที่รักของใครสักคน โอกาสได้มีครอบครัวที่อบอุ่นกับผู้หญิงที่เราเลือกมาเป็นแม่ของลูก…เราเลือกอย่างหลังว่ะ”
หนุ่มหน้าหวานมองดวงตาสีอำพันเป็นประกายของพระเอกรุ่นพี่ รับรู้ได้เลยว่านับนิรันดร์ไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกและมีความสุขกับหนทางที่ตัวเองเลือกเดินอย่างเต็มที่
มนายุเคยเจอภรรยาของนับนิรันดร์แบบผ่านๆ อยู่หลายครั้ง เพราะตอนนี้หล่อนกลายมาเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของช่อง ‘จิรปริยา’ คนนั้นเป็นผู้หญิงซึ่งถ้ายืนอยู่ปกติเฉยๆ ใบหน้านิ่งๆ จะดูเย่อหยิ่งไม่น่าคบหา แต่พอยิ้มออกมากลับดูอ่อนโยนน่ารักขึ้นหลายระดับ ในสายตาเขา…หล่อนจัดว่าหน้าตาดีกว่าคนปกติทั่วไปพอสมควร อาจจะเทียบกับดาราบางคนได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าหากนำมาเทียบกับสามีผู้เจิดจรัสอย่างนับนิรันดร์แล้ว…จิรปริยาไม่มีทางเทียบความงดงามกับสามีของหล่อนได้เลย
สิ่งเดียวที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคงจะเป็นท่าทางที่ดูหยิ่งๆ ล่ะมั้ง แถมดูไปดูมานับนิรันดร์ยังดูเป็นมิตรกว่าเพราะใบหน้างามๆ มักมีรอยยิ้มแต้มอยู่ไม่ขาด
ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงธรรมดาๆ คนนั้นยึดหัวใจผู้ชายที่เคยครองตำแหน่ง ‘หนุ่มโสดในฝัน’ ของสาวๆ ค่อนประเทศเอาไว้ได้อยู่หมัด
“ที่จริงเฮียอาจจะไม่ต้องเสี่ยงเสียอะไรไปเลย ถ้าเฮียรอเวลาอีกสักสี่ห้าปี คือแฟนเฮียก็เพิ่งเรียนจบ ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไร”
“ไม่ได้หรอก” นับนิรันดร์ส่ายหน้า อธิบายสีหน้าจริงจัง “มนุษย์ไม่มีวันรู้จริงๆ หรอกว่าเราจะมีเวลายืดยาวหลายสิบปีหรือเหลือเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เราไม่อยากเสี่ยง ไม่อยากเสียเวลาที่ควรจะได้ใช้มันร่วมกับผู้หญิงที่เราเลือก”
คิดตามแล้วมนายุก็เผลอพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว
“เออจริง ถึงจะอายุแค่นี้แต่…ก็ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเนอะ” ชายหนุ่มคิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถอนหายใจ เปลี่ยนกลับไปพูดเรื่องเดิม “แต่เฮียโชคดีนะที่แฟนคลับเฮียรับได้อ่ะ” เขาพึมพำ จินตนาการไปว่าแล้วถ้าเป็นเขาล่ะ…แฟนคลับจะรับได้รึเปล่า
“ตอนตัดสินใจเราก็ไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง รู้แค่ว่าพอเลือกแด…เราก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาและเส้นทางที่เราเลือก คิดไว้แล้วด้วยว่าถ้าตอนนั้นมีกระแสโจมตีแดหนักๆ จริงๆ เราก็จะออกจากวงการแล้วไปใช้ชีวิตกับครอบครัวของเรา”
“ถ้าเป็นแบบนั้นเฮียจะไม่เสียดายจริงๆ เหรอ คนชอบพูดว่าพวกเราโชคดีที่ได้มาอยู่ตรงนี้ โชคดีที่ได้รับโอกาสที่น้อยคนจะได้”
โอกาสที่จะได้เป็นดาวอยู่บนฟ้า ได้รับชื่อเสียง เงินทอง และความรักจากผู้คนมากมาย แม้ว่านั่นจะต้องแลกกับเวลาและชีวิตส่วนตัวก็ตาม
“ก็คงเสียดายนะ แต่เราคงเสียใจมากกว่า…ถ้าต้องเสียแดไป” นัยน์ตาสีอำพันสวยแปลกจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีเข้ม “เรากับคุณต่างกันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือคุณเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ได้รับความรักอย่างเต็มที่จากพ่อแม่ แต่เรา…” หนุ่มหน้าสวยส่ายหัว ความเหงาบางเบาปรากฏขึ้นในดวงตาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเลือนหาย “เราสัมผัสได้แต่ความเคารพยำเกรงที่คนรอบข้างมอบให้ แต่ไม่เคยได้รับความรัก ความใกล้ชิดที่แสนอบอุ่นจากใครเลย ดังนั้นสำหรับเรา…แดคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่อาจสูญเสียไปได้”
มนายุนิ่ง มองสีหน้าจริงจังของนับนิรันดร์ รับรู้ได้ถึงความรักมากมายที่เพื่อนรุ่นพี่มีให้กับภรรยา
เหตุผลที่นับนิรันดร์รีบร้อนแต่งงานทั้งที่ควรจะทอดเวลาไปอีกสักระยะ เพราะอยากใช้เวลาร่วมกับคนรักให้มากที่สุด รุ่นพี่จึงไม่ลังเลที่จะเลือกการสร้างครอบครัวมาก่อนอนาคตในวงการบันเทิง
แล้วเขาล่ะ
มนายุถามตัวเอง
เขาพร้อมจะเสี่ยงเสียทุกอย่างเพื่อการแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักเพียงเพราะอยากสะเดาะเคราะห์เบญจเพสจริงๆ หรือเปล่า
และขณะที่มนายุกำลังทบทวนการตัดสินใจของตัวเองอยู่นั้นก็ราวกับว่าคนบนฟ้าไม่อยากให้เขาเสียเวลาลังเลอีกต่อไป เมื่อผู้หญิงที่เขาเอ่ยปากขอแต่งงาน…เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาเป็นครั้งแรก แม้เสียงปลายสายจะสั่นจนสังเกตได้ หากคำพูดที่หลุดออกมาก็ยังเป็นประโยคสั้นๆ ที่กระทั่งตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่าคือคำตอบที่รอคอยอยู่…
…หรือไม่อยากให้มันมาถึงกันแน่
“เรื่องที่เหมือนถาม…เราตกลงนะ”
“ฮะ?” พระเอกหนุ่มหลุดอุทานออกไปเบาๆ ยังตั้งตัวไม่ติดกับคำตอบที่อยู่ดีๆ ก็ได้มา
ชายหนุ่มวัยเกือบเบญจเพสได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึกดังมาจากปลายสาย ก่อนเธอจะพูดออกมาให้ชัดเจนกว่าเดิมด้วยน้ำเสียงราวกระซิบ
“เรา…จะแต่งงานกับเหมือน”