LOVE
ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 12 – บทที่ 13
บทที่ 13 ค่าตอบแทนจากการแต่งงาน
ถ้าจะถามหาเหตุผลที่ทำให้ลิปสาอยากตอบตกลงแต่งงานกับผู้ชายที่เธอหลงใหลคลั่งไคล้ ยกให้เขาเป็นสามีมโนมาหลายปีคงสามารถร่ายยาวออกมาได้หลายหน้าเอสี่ แต่ถ้าจะถามถึงแรงผลักดันที่ทำให้เธอก้าวข้ามทุกขีดจำกัดแห่งความกลัวและลังเลออกไปได้นั้น หญิงสาวยกให้ครอบครัวของเธอคือคำตอบ
อันที่จริงหลังจากลิปสายืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรีไรเตอร์ในสำนักพิมพ์เหนือฝันแล้วกลับไปเรียนต่ออย่างที่พ่อต้องการ ถึงขนาดหลุดปากลั่นวาจาว่าจะย้ายออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองนั้น แม้บรรยากาศในบ้านจะมาคุอย่างหนักติดต่อกันหลายวันจนต้องใช้เวลาร่วมสัปดาห์กว่าคุณวรภพจะกลับมาพูดคุยกับลูกสาวคนโต แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีใครเลยที่จะหยิบยกคำประกาศนั้นขึ้นมาพูด สี่ชีวิตในครอบครัวอัศวาพิพัฒน์ทำราวกับว่าประโยคดังกล่าวเป็นเพียงแค่สายลมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครเลยที่จะลืมเรื่องนั้น พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าหากมีใครสักคนพูดออกมา บ้านหลังนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงเข้าจริงๆ
ทว่า…ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีใครคนหนึ่งในอัศวาพิพัฒน์พลั้งปากพูดขึ้นมา จนทำให้ลิปสาตัดสินใจก้าวออกจากบ้านที่อยู่มาเกือบทั้งชีวิตจนได้
ที่จริงแล้วเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตชนิดทำให้ต้องตัดเป็นตัดตายกันแต่อย่างใด มันแทบจะเหมือนการโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยระหว่างพี่สาวคนโตกับน้องชายคนเล็กประจำบ้าน ลิปสาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจุดเริ่มต้นของการวิวาทเกิดจากอะไร เธอมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หาเรื่องหรือทำอะไรให้รัฐนันท์ไม่พอใจ แต่พอกลับจากทำงานมาก็พบเพียงใบหน้าบูดบึ้งและกิริยากระแทกกระทั้นของน้องชาย
คนที่อารมณ์ดีเพราะต้นฉบับที่กำลังรีไรต์สนุกถูกใจ แถมยังได้รับฟังมุมมองที่ทำให้คนคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายซึ่งมีสถานะทางสังคมสูงกว่าและกลัวว่าการแต่งงานจะถูกเปิดเผยเหมือนกันจากหฤทชนันจนเริ่มคิดอะไรๆ ตก พยายามอดทนกับกิริยาของน้องชายอย่างเต็มที่ กระทั่งวินาทีที่เส้นความอดทนของเธอขาดสะบั้น
ปึง!
ดวงตากลมใสเหลือบมองกองจานชามชุดแรกที่รัฐนันท์ยกมาจากโต๊ะอาหาร ขณะที่สองมือยังล้างหม้อสแตนเลสใบเล็กไปด้วย ลิปสาข่มใจนับหนึ่งถึงร้อย พยายามไม่หงุดหงิดกับน้อง
ปึง!
โอเค…พอกันที!
เธอยังนับเลขไปไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ รัฐนันท์ก็ยกจานกองที่สองมาวางกระแทกลงบนเคาน์เตอร์หินอ่อนในลำดับถัดจากชุดแรก หญิงสาวสะบัดหน้ากลับไปจ้องแผ่นหลังคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องครัวไป ถามเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่สะกดกลั้นความไม่พอใจไว้ไม่มิด
‘กระแทกจานทำไม!’
เท่านั้นแหละ เด็กหนุ่มวัยสิบแปดกว่าๆ ก็สะบัดหน้ากลับมากระชากเสียงตอบกลับทันที
‘ใครกระแทก! เลิฟวางปกติ เจ้อย่าหาเรื่องได้ป้ะ!’
‘หาเรื่องตรงไหน! ก็เลิฟกระแทกจานจริงๆ สองครั้งติดเลยด้วย!’
‘เจ้หาเรื่องว่ะ! บอกว่าปกติก็ปกติดิ’
‘กระแทกดังขนาดนี้ยังจะบอกว่าปกติอีกเหรอ! เจ้ไม่ได้กินหญ้านะ! เห็นทำท่าหงุดหงิดชักสีหน้าใส่ตั้งแต่กลับมาแล้ว เป็นอะไรฮะ!’
‘ก็บอกว่าไม่ได้เป็น!…ของของตัวเองยังต้องให้คนอื่นคอยรับให้ จะออกไปไหนก็ไปไม่ได้ ภาระชะมัด!’ รัฐนันท์ตะคอกกลับด้วยท้ายประโยคที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก่อนเดินหันหลังออกจากครัวยังไม่วายส่งเสียงดังตามอารมณ์มาอีกระลอก ‘ถ้าอยู่บ้านแล้วหาเรื่องกันอย่างนี้ ย้ายออกไปอยู่เองอย่างที่ปากเคยพูดไว้ดิ! เหอะ! ชอบทำเหมือนตัวเองเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แต่นี่อะไร…พูดได้ทำไม่ได้!’
ลิปสาตัวเย็นวาบกับคำพูดของน้องชายคนเดียว สมองมึนชาพยายามประมวลผลจากข้อมูลทั้งหมดที่มี
สรุปว่า…ที่รัฐนันท์ทำท่าหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดใส่เธอมาตั้งแต่กลับถึงบ้าน ก็เพราะวันนี้หญิงสาวสอบถามถึงเรื่องหนังสือนิยายแปลจีนจากสำนักพิมพ์อื่นที่เธอสั่งให้มาส่งบ้าน พอรู้ว่ายังมาไม่ถึงก็ออกปากให้น้องชายรอรับให้ในวันพรุ่งนี้แทนมารดาที่ไปต่างจังหวัด แต่รัฐนันท์คงมีนัดหมายอยากออกจากบ้านแล้วออกไปไม่ได้เพราะต้องรอรับของให้เธอ…อย่างนั้นสินะ
แม้จะเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว แต่ลิปสาก็ยังสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ ประโยคสุดท้ายของน้องชายยังดังก้องอยู่ในหัว เส้นเลือดในตัวดีดพล่าน หัวใจโหมกระหน่ำรุนแรง จนต้องขยับริมฝีปากระริกตอบกลับไปด้วยเสียงเบาลง ทว่าคนฟังรับรู้ถึงความเย็นชาได้อย่างชัดเจน
‘ถ้าพรุ่งนี้มีธุระจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องรอรับหนังสือให้เจ้ แล้ว…’ หญิงสาวกำมือแน่น หมุนตัวกลับไปยังอ่างล้างจาน ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ‘แล้วก็…เดี๋ยวจะย้ายออกให้เร็วที่สุดละกัน’
‘เจ้…’ เด็กหนุ่มที่พลั้งปากพูดออกไปด้วยแรงอารมณ์ละล้าละลัง มองแผ่นหลังพี่สาวอย่างรู้สึกผิด ทว่าความปากหนักทำให้รัฐนันท์เม้มปาก เดินกระแทกเท้ากลับเข้าห้องส่วนตัวไป
ทิ้งไว้เพียงพี่สาวที่ยืนเชิดหน้า ปาดน้ำตา แล้วล้างจานต่อไปเงียบๆ
วันถัดมาตอนที่ไปรษณีย์เอกชนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งกำหนดการส่งของ ลิปสาก็ตัดสินใจให้อีกฝ่ายโยนหนังสือที่เธอรออ่านอย่างใจจดใจจ่อเข้ามาในรั้วบ้านโดยไม่ได้โทรศัพท์บอกน้องชายให้รอรับ เธอยอมเสี่ยงให้บ็อกซ์บุบ หนังสือเป็นรอยดีกว่าให้น้องตอกกลับว่าเป็นคน ‘พูดได้ทำไม่ได้’ อีกรอบ และเมื่อกลับมาแกะกล่องพัสดุออกแล้วพบว่าทั้งหนังสือและตัวบ็อกซ์ได้รับความเสียหายจริงๆ หญิงสาวก็ถอนหายใจ…ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในเวลานั้นเอง
ปลายนิ้วเรียวลูบไล้รอยบุบบนหนังสือ ขณะที่อีกมือยังประคองโทรศัพท์ไว้แนบแก้ม ฟังเสียงรอสายพร้อมกับมองรอยนั้นอย่างช้ำใจ
สำหรับคนรักหนังสืออย่างเธอรอยยับสักนิดยังไม่อยากเห็น นับประสาอะไรกับหนังสือบุบงอลงไปเพราะแรงกระแทกที่ตัวเองเป็นคนกลั้นใจออกคำสั่งกับบุรุษไปรษณีย์
ทิฐิมันไม่ดีจริงๆ ด้วย
ถ้าเธอยอมกลืนน้ำลายตัวเอง โทรศัพท์บอกให้รัฐนันท์ลงไปรับของหรืออย่างน้อยบอกให้บุรุษไปรษณีย์ลองกดกริ่งหน้าบ้านสักครั้งสองครั้ง หนังสือของเธอคงไม่ได้รับความเสียหายแบบนี้ ทว่าลิปสารู้ดีว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้…เธอก็คงตัดสินใจอย่างเดิมแล้วมานั่งมองหนังสือด้วยความรู้สึกผิดอย่างนี้อยู่ดี
‘ครับ?’
น้ำเสียงปลายสายทำให้คนใจลอยสะดุ้ง ลิปสาขบปากแน่น สูดลมหายใจลึกขณะรีบรัวคำพูดไปก่อนตัวเองจะเปลี่ยนใจ…อีกครั้ง
‘เรื่องที่เหมือนถาม…เราตกลงนะ’
‘ฮะ?’
‘เรา…จะแต่งงานกับเหมือน’ แล้วย้ายออกจากบ้านหลังนี้ ไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง…
เถอะน่ะ ลิปสาปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยถ้าย้ายออกไปอยู่คอนโดฯ ต่อให้ตัวเราไม่อยู่ก็ยังมีนิติบุคคลคอยเซ็นรับพัสดุให้ ไม่ต้องเดือดร้อนใครแล้วล่ะนะ
เพราะเวลาว่างในตารางงานอันแน่นเอี้ยดของมนายุมีอย่างจำกัด พนักงานประจำที่สแกนนิ้วเข้าบริษัทเก้านาฬิกาและออกตอนสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที ทว่ามีบางครั้งต้องหอบงานกลับไปทำนอกเวลาอย่างลิปสา จึงเสียสละเป็นฝ่ายใช้สิทธิ์ลาพักร้อนครึ่งวันเพื่อออกมาพบกับเขาในช่วงบ่ายของวันจันทร์ถัดมา
อืม ถ้ารวมกับที่อยู่ดีๆ ก็ขอลาไปโรงพยาบาลตามที่คุณมัทนาโทรศัพท์มาขอร้องในวันนั้น เธอก็ใช้วันลาพักร้อนหมดไปอีกหนึ่งวันแล้วสิเนี่ย
หญิงสาวถอนหายใจ คำนวณวันลาพักร้อนที่เหลืออยู่เงียบๆ ขณะนั่งรอพระเอกหนุ่มในห้องซ้อมดนตรีแห่งเดิม
“ขอโทษที่ให้รอนะ พอดีผมเพิ่งถ่ายแบบเสร็จ นี่ก็รีบดิ่งมาเลย”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขายาวสีดำเปิดประตูผลัวะ เอ่ยขอโทษพลางก้าวขายาวๆ ตรงมานั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มือแข็งแรงยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าเธอเบิกตาโพลงมองเขาอยู่นิ่งๆ และเมื่อมองสำรวจผู้หญิงตรงหน้าให้ละเอียด มนายุก็เผลอหลุดอุทาน
“โอ๊ะโอ”
บังเอิญชะมัด…ที่วันนี้ลิปสาก็แต่งกายง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนเข้ารูปสีดำ
แถมยังมีรอยขาดเส้นด้ายหลุดลุ่ยที่หัวเข่าเหมือนกันอีกแน่ะ
มนายุหลุดหัวเราะ เผลอแซวออกไป
“แหม อย่างกับเรานัดกันใส่ชุดคู่รักเลยเนอะ”
เห็นพวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อ หนุ่มหน้าหวานก็หัวเราะชอบใจเบาๆ ตัดสินใจเลิกแกล้งก่อนที่เธอจะเขินจนโกรธขึ้นมา
“เมื่อคืนเธอโทรบอกผมว่าตกลงที่จะ…แต่งงานกับผมใช่มั้ย”
ลิปสาเหลือบตาขึ้นมองวงหน้าหวานที่ยังถูกเคลือบด้วยเครื่องสำอาง เส้นผมสีดำซึ่งปกติในวันว่างจะถูกปล่อยลงปรกหน้าอย่างง่ายๆ ถูกเซ็ตขึ้นเปิดให้เห็นหน้าผากกว้างอย่างเต็มที่ ประกอบกับดวงตาสุกสกาวสดใสและรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว…
อืม…ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งหล่อแฮะ เดี๋ยว! อย่านอกเรื่องสิรักแรกพบ!
หญิงสาวสะบัดหัว ขยับตัวปรับท่านั่งใหม่ ยืดตัวหลังตรง เอ่ยด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ
“ใช่ เรา…ตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับเหมือน”
มนายุเลิกคิ้ว เปลี่ยนท่าจากทิ้งแผ่นหลังพิงพนักโซฟาเป็นวางแขนสองข้างไว้บนหัวเข่า โน้มตัวเข้าไปใกล้คู่สนทนา ใช้ดวงตาที่แม้จะสวยทรงเสน่ห์สู้นัยน์ตาสีอำพันของนับนิรันดร์ไม่ได้ แต่ก็มีอำนาจในการล่อลวงสาวๆ ไม่น้อยจ้องลึกไปยังแก้วตากลมใสซึ่งเห็นได้ชัดว่า…เธออยากจะหลบตาเขา หากอะไรบางอย่างกลับสะกดกลั้นไม่ให้ทำ จึงได้แต่ประสานตากับเขาอยู่เงียบๆ
พระเอกหนุ่มไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รั้งลิปสาเอาไว้ก็คือเสียงลึกลับจากก้นบึ้งหัวใจแฟนคลับตัวน้อยๆ ที่ตะโกนลั่นว่า
อายคอนแทกต์กับเหมือน มนายุไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ นะเฟ้ย! จะมัวแต่เขินจนยอมเสียโอกาสทองนี่ไปง่ายๆ ได้ยังไง!
ดังนั้นแม้หัวใจจะเริ่มเต้นแรงจนกลบเสียงรอบข้างเหมือนจะระเบิดออกมา พวงแก้มจะแต้มเลือดฝาดราวกับเลือดทั้งตัวไหลไปกองบนใบหน้า แต่หญิงสาวก็ยังดื้อดึงสบตากับเขาอย่างเงียบๆ ไม่ปล่อยให้โอกาสหนึ่งในล้านล้านล้านต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”
“อืม ไม่เปลี่ยนใจ” ลิปสาพยักหน้ารับหนักแน่น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว…
เธอก็ยังลังเลในคำตอบอยู่เหมือนเดิม
“ดี!” พระเอกหนุ่มตบเข่าฉาด คลี่ยิ้มกว้าง ยื่นมือข้างเดียวกันไปจับมือเธอขึ้นเขย่าแรงๆ สองสามที “งั้นตกลงตามนี้ เราจะแต่งงานกัน” พอปล่อยจากมือเล็กนุ่มนิ่ม มือแข็งแรงก็ล้วงเอาสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดแอพพลิเคชั่นปฏิทินค้นหาวันว่างท่ามกลางตารางงานอันแน่นขนัดของตัวเอง สองตายังจับจ้องหน้าจอขนาดห้าจุดแปดนิ้ว ปากก็เอ่ยไปด้วย “ซินแสบอกว่าผมควรจะแต่งงานให้เสร็จก่อนเบญจเพส อะไรๆ ในชีวิตมันจะได้ดีขึ้น อืม…เราแต่งงานกันเมื่อไหร่ดี อ๊ะ! อีกสามวันผมมีวันว่างด้วยนะ! เป็นวันเสาร์พอดี เธอน่าจะว่าง เราแต่งงานกันวันนั้นมั้ย”
ลิปสาผงะ สบตาเจ้าบ่าวที่อุตส่าห์เงยหน้าจากจอสมาร์ตโฟนขึ้นถามความคิดเห็นเธอ ผู้หญิงขี้มโนที่พร่ำเพ้อหาความโรแมนติกแบบในนิยาย เคยจินตนาการชีวิตรักและเรื่องแต่งงานของตัวเองไว้อย่างวิลิศมาหรา อ้าปากค้าง ความห่อเหี่ยวถาโถมเข้าครอบงำอารมณ์ความรู้สึก รับรู้ได้ในทันทีว่าอย่าได้คาดหวังถึงความโรแมนติกหวานแหววใดๆ จากการแต่งงานครั้งนี้
ก็มันเป็นแค่การแต่งงานสะเดาะเคราะห์ของเขาและแก้กรรมของเธอนี่นา
หญิงสาวเตือนตัวเองในใจ สะกดกลั้นความรู้สึกผิดหวังที่เอ่อล้นในอกเอาไว้ เชิดหน้าขึ้นกอดอก ตั้งคำถาม
“คือมันเป็นการแต่งงานสะเดาะเคราะห์ของเหมือน เราไม่ต้อง…ดูฤกษ์ยามอะไรเหรอ”
มนายุนิ่งไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักพักก่อนพยักหน้า
“อืม จริงด้วย บางทีอาจจะต้องดูฤกษ์ยามก่อน เออใช่!” พระเอกหนุ่มทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ปลายนิ้วเปลี่ยนแอพฯ ปฏิทินไปสู่อีกหน้าจอหนึ่ง กดโทรออกอย่างรวดเร็ว ระหว่างรอสายก็ไม่ลืมอธิบาย “คือผมมัวแต่ตื่นเต้นที่เธอตกลงก็เลยยังไม่ได้โทรบอกแม่เลยน่ะ”
เชื่อได้เลยว่าคุณมัทนาต้องดีใจกว่าเขาเป็นพันเท่า เพราะนับจากพ่อประสบอุบัติเหตุ แม่ก็จริงจังกับการแต่งงานระหว่างเขากับลิปสามากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้เอ่ยปากถามทุกครั้งที่เจอหน้า หากแววตาแฝงความกังวลของแม่ก็บอกให้ลูกที่สนิทกับท่านรู้ดีว่ามารดารู้สึกอย่างไร
รอสายเพียงไม่นานใบหน้าอ่อนโยนของคุณมัทนาก็ปรากฏบนหน้าจอ
“ฮัลโหล ว่าไงครับลูก”
มนายุมองแม่แล้วยิ้ม แววตาอ่อนละมุนลงจนคนนั่งฝั่งตรงข้ามเผลอใจสั่น
คล้ายๆ แบบนี้แหละ
แววตาอ่อนละมุนคล้ายตอนกามเทพไร้หัวใจเพิ่งได้รู้จักความรักเป็นครั้งแรกนี่แหละที่ล่อลวงให้เธอตกหลุมรักจนกลายเป็นติ่งผู้คลั่งไคล้เขามาหลายปี!
เพิ่งรู้วันนี้ว่าสายตากับรอยยิ้มที่กามเทพหนุ่มมอบให้หญิงสาวต่างเผ่าพันธุ์ในวันนั้น คือสีหน้าแบบที่มนายุมอบให้แม่
“แม่ครับ เหมือนมีข่าวดีจะบอกแม่ล่ะ” พระเอกหนุ่มทำเสียงตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่เขามีอะไรดีๆ อวดบุพการี
ทั้งสมุดพกเกรดสามจุดสามศูนย์สมัย ป.หก การถูกเลือกให้ถือป้ายชื่อคณะในงานกีฬาสีสมัย ม.ต้น การได้เป็นเดือนโรงเรียนพ่วงนักร้องนำของวงดนตรีสุดป็อปของโรงเรียน จนถึงการได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในพระเอกซีรี่ส์พารานอร์มอลของช่องสามสิบเจ็ด…เพื่อทำความฝันของแม่ที่อยากให้ลูกชายเป็นดาราเป็นจริง
และวันนี้…มนายุกำลังจะบอก ‘ข่าวดี’ กับแม่อีกครั้ง
“แม่ครับ หนูรักแรกของแม่…ตกลงแต่งงานกับเหมือนแล้วนะ”
คุณมัทนานิ่งไปอึดใจ ก่อนดวงตาคู่สวยจะเอ่อคลอด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ ใบหน้าแต้มรอยยิ้มกว้าง ถามเสียงตื่นเต้นพอกันว่า
“จริงเหรอเหมือน! หนูรักแรก…ตกลงแล้วจริงๆ น่ะเหรอ!”
หลังจากวันนั้นที่สามีประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลจนท่านร้อนใจถือวิสาสะโทรศัพท์ขอร้องให้หญิงสาวที่น่าจะเป็นเจ้าสาวสะเดาะเคราะห์ของลูกชายมาหาและมนายุตัดสินใจเปิดใจขอเธอแต่งงาน คุณมัทนาก็คอยสอบถามความคืบหน้าเป็นระยะ
จากครั้งแรกที่ดูไม่มีหวังเพราะลูกชายคนดีดันบอกสาวเจ้าไปหมดเปลือกว่าอยากแต่งงานกับเธอเพราะอะไร ไม่รู้จักพลิกแพลงใช้มารยาชายให้หวั่นไหวจนสาวใจอ่อนยอมแต่งงานไปด้วยก่อน จนวันนั้นหนูรักแรกของท่านก็กลับไปอย่างช็อกๆ วันที่ว่าที่ลูกสะใภ้ติดต่อกลับมาเพื่อขอพูดคุยรายละเอียด…มนายุเล่าว่าพวกเขาดูมีหวังอยู่บ้าง แต่แล้วเธอก็หายไปนานหลายวัน กระทั่งวันนี้…
วันที่ลูกชายบอกว่าเธอตอบตกลงจะแต่งงานด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเพียงการแต่งงานเพื่อรอวันหย่า
ลึกลงไปในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกันคุณมัทนาทราบดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นการเอาเปรียบลิปสาอย่างรุนแรง ชีวิตสมรสทางกฎหมายครั้งแรกของผู้หญิงคนหนึ่งต้องถูกปิดบังเป็นความลับ ไม่สามารถยืดอกบอกใครได้ว่าผู้ชายที่โลดแล่นบนจอโทรทัศน์นั่นคือ ‘สามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย’ ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ เพื่อไม่ให้ถูกใครจับได้จนกลายเป็นข่าวซึ่งจะเป็นการทำลายชื่อเสียงในฐานะพระเอกของมนายุ และสุดท้ายแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเพียงปีเศษ…ก็จะต้องจบชีวิตสมรสครั้งนั้นลงแต่โดยดี
คุณมัทนาสัญญากับตัวเองตั้งแต่แรกว่าหากลิปสาตอบตกลงช่วยเหลือครอบครัวท่านในครั้งนี้ นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับหรือเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวได้ หากสิ่งใดที่ท่านทำให้ลิปสาได้ท่านจะทำให้ทุกอย่าง จะรักและเอ็นดูหญิงสาวไม่ต่างจากเธอเป็นลูกสาวแท้ๆ กระทั่งวันที่พันธะทางกฎหมายของเธอและลูกชายท่านจบลงก็ตาม
“เหมือน…แม่ขอคุยกับหนูรักแรกหน่อย”
มนายุพยักหน้ารับ หันไปมองคนข้างๆ ที่คงได้ยินคำพูดของท่านแล้ว พอเห็นเธอพยักหน้ารับก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้
“สวัสดีค่ะคุณน้า”
ลิปสายกมือขึ้นไหว้มารดาของพระเอกคนดัง ก่อนยื่นมือไปรับเครื่องมือสื่อสารแบรนด์ระดับโลกมาไว้ในมือ
“หนูรักแรก…แม่ไม่รู้จะขอบคุณหนูยังไงดีที่หนูตกลงช่วยพวกเราในครั้งนี้”
หญิงสาวนิ่งไปกับสีหน้าซาบซึ้งที่คุณมัทนามอบให้ ดูออกเลยว่าท่านยินดีแค่ไหนที่เธอตอบตกลงแต่งงานในนามกับลูกชายของท่าน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะที่จริงเรื่องนี้รักก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน” ลิปสาส่ายหน้ายิ้มๆ ตัดสินใจอธิบายความจริงในส่วนของตัวเองสั้นๆ “พอดีช่วงนี้รักกำลังหาที่อยู่ใหม่น่ะค่ะ แล้วคอนโดฯ ที่เหมือนเสนอว่าจะใช้เป็น…เอ้อ…เรือนหอ” คำว่า ‘เรือนหอ’ ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องรีบพูดต่อ “มันอยู่ใกล้ออฟฟิศรักด้วยน่ะค่ะ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือจ๊ะ” คุณมัทนายิ้มรับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอารี “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงแม่ก็ต้องขอบคุณหนูอยู่ดี แล้วเรื่องค่าตอบแทนจากการแต่งงานครั้งนี้…แม่ไม่รู้ว่าหนูคิดเอาไว้รึยังว่าอยากได้อะไรหรือเท่าไหร่ยังไง แต่ว่าเรียกมาได้เต็มที่เลยนะจ๊ะ อ๊ะ! แม่ไม่ได้จะดูถูกหรือมองหนูไม่ดีอะไรนะลูก” มารดาพระเอกดังรีบเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าที่ศรีสะใภ้หน้าเสียกึ่งๆ จะไม่พอใจขึ้นมา น้ำเสียงที่ใช้จึงเพิ่มความอ่อนโยนระมัดระวัง “แม่เป็นผู้หญิงเหมือนหนูรักแรก รู้ดีว่าการแต่งงานสำคัญกับผู้หญิงเรามาก เลยอยากตอบแทนหนูให้ดีที่สุดจ้ะ เรา…ไม่อยากเอาเปรียบหนูไปมากกว่านี้นะลูก”
ลิปสาผ่อนลมหายใจ พยายามระบายรอยยิ้มแข็งเกร็งกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ
แม่ลูกพูดเหมือนกันราวกับก๊อปปี้เพสต์มาเลย เพราะครั้งก่อนก่อนจากกันมนายุก็ถามเธอถึงเรื่องค่าตอบแทนทำนองนี้ พร้อมย้ำว่าไม่ได้มองเธอไม่ดี แค่เป็นห่วงว่าเธอจะเสียหายฟรีๆ และเพราะยังจดจำได้ หญิงสาวจึงคิดมาเรียบร้อยว่าเธอจะเรียกร้องอะไรเป็นค่าตอบแทนสำหรับการแต่งงานครั้งนี้
“ค่ะ แน่นอนค่ะว่ารักจะเรียกให้คุ้มเลย คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ”
คุณมัทนาสังเกตสีหน้าว่าที่เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์ของลูกชาย พอเห็นว่าเธอไม่ได้ไม่พอใจอย่างเมื่อครู่ก็ยิ้มอย่างวางใจ หลังพูดคุยอีกสองสามคำก็ขอตัวไปดูแลสามีที่เพิ่งตื่นหลังนอนเอนหลังรอบบ่าย
“ไว้คุยกันใหม่นะลูก”
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณน้า”
มนายุรับสมาร์ตโฟนราคาแพงกลับมาไว้ในมือ ขยับตัวอย่างไม่สบายใจนิดหน่อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าระมัดระวัง
“แม่ไม่ได้ตั้งใจพูดให้เธอรู้สึกไม่ดีนะ”
“หือ?” ลิปสากะพริบตาปริบ เพราะสมองมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่จึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าพระเอกคนโปรดหมายถึงอะไร “อ้อ เรารู้ เข้าใจที่แม่เหมือนจะสื่อนั่นแหละ แต่ก็นะ…” หญิงสาวยักไหล่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ที่เหมือนถามคราวนั้นเรื่องค่าตอบแทนสำหรับการแต่งงานครั้งนี้ เราคิดมาแล้วนะว่าอยากได้อะไร”
“อ่าฮะ” ชายหนุ่มขยับตัว ยืดแผ่นหลังกว้างให้ตั้งตรง สายตาตรึงไว้กับดวงตาใสแจ๋วของคู่สนทนา แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมรับฟังข้อแลกเปลี่ยนของเธออย่างจริงจัง
“เหมือน…แน่ใจรึเปล่าว่าจะให้ได้อย่างที่เราขอจริงๆ”
คำถามดังกล่าวทำให้มนายุต้องกวาดตามองเธออีกครั้งด้วยความระแวดระวังกว่าเก่า สังหรณ์ใจว่าค่าตอบแทนจากการแต่งงานครั้งนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้
“ก็…ถ้าเราให้ได้” ชายหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้ เอ่ยถามทีเล่นทีจริงว่า “หวังว่าคงไม่ใช่ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของเราอะไรทำนองนั้นนะ”
“ไม่หรอก” ลิปสาส่ายหน้าจริงจัง สำทับชัดเจน “เราไม่เอาเงินเหมือนหรอก ไม่อยากได้ชื่อว่าแต่งงานแลกเงิน”
“อ้าว!” มนายุอุทาน
ไม่ใช่เงิน แล้วเธออยากได้อะไรจากเขา
สมองของพระเอกผู้ผ่านการแสดงละครโทรทัศน์มานับสิบเรื่องแล่นปรู๊ด คิดหาสิ่งที่หญิงสาวคนหนึ่งคาดหวังจากการแต่งงาน
หรือว่าจะเป็นความรักจากเขาและการใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจริงๆ ในท้ายที่สุด?
“นี่! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ!” ลิปสาโวยวาย
เธอไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่สีหน้าแบบนั้นมันทำให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องโวยออกไป หัวใจเต้นแรงขึ้นพร้อมกับใบหน้าซ่านสีเลือดอีกครั้งกับสิ่งที่กำลังจะเอ่ย
“เรา…” เธอหลุบตาหนีดวงตาคู่โตที่จ้องมาอย่างรอคอยคำตอบ สูดลมหายใจลึก งึมงำออกไปในที่สุด “เราอยากได้สเปิร์มของเหมือน”
“ฮะ? เธออยากได้อะไรนะ” มนายุถามย้ำ เสียงงึมงำเมื่อครู่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองต้องฟังบางอย่างผิดพลาดไป
ลิปสากัดริมฝีปาก หลับหูหลับตาตะโกนด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่าครั้งนี้เขาต้องได้ยินชัดเจน
“เราบอกว่าเราอยากได้สเปิร์มของเหมือนเป็นค่าตอบแทนจากการแต่งงานครั้งนี้!”
โปรดติดตามตอนต่อไป