LOVE
ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 4 – บทที่ 5
บทที่ 4 อุบัติเหตุ
ระหว่างทางขับรถกลับกรุงเทพฯ พระเอกหนุ่มหน้าหวานก็อดคิดถึงสายจากมารดาเมื่อเดือนก่อนขึ้นมาไม่ได้ เพราะช่วงนั้นเขามีถ่ายละครเรื่อง ‘มงกุฎอคิราห์’ ละครดราม่ากึ่งแฟนตาซีเกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ในอาณาจักรสมมติเมื่อพันกว่าปีก่อนที่ต่างจังหวัดยาวนานติดต่อกันสองสัปดาห์เต็ม การสนทนากับท่านจึงมาในรูปแบบของการวิดีโอคอลล์ สีหน้าตื่นเต้นยินดีของคุณมัทนายังชัดอยู่ในหัว
‘เหมือน! ลูก! แม่เจอแล้วนะเหมือน แม่เจอแล้ว!’
วินาทีแรกมนายุนึกว่าท่านหมายถึงคุณยายวัยเจ็ดสิบสองของเขา ค่าที่ก่อนหน้านี้ผู้เป็นแม่โทรมาแจ้งว่าท่านหายไปในห้างสรรพสินค้าจนพาให้เขาร้อนใจตามไปด้วย แต่พอบอกจะรีบกลับกรุงเทพฯ ไปช่วยหา แม่ก็สั่งห้ามเพราะกลัวจะกระทบกับทีมงานคนอื่นๆ
‘เจอคุณยายแล้วเหรอครับ โล่งไปที!’
สารภาพเลยว่าแม้ปกติเขาจะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีมาก แต่ที่ฉากเมื่อครู่เทกไปสามครั้งติดก็เพราะในใจเขากังวลเรื่องคุณมาลีหายไปท่ามกลางฝูงชนนี่แหละ
‘ไม่ใช่ลูก! ไม่สิ! แม่หมายถึง…’
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองภาพมารดาอย่างแปลกใจ
น้อยครั้งนักที่คุณมัทนาจะอึกอักพูดอะไรไม่ถูกแบบนี้
‘แม่หายายเจอแล้ว แต่ที่แม่บอกว่าเจอแล้วไม่ได้หมายถึงยาย เหมือน…เข้าใจใช่มั้ยลูก’
‘เอ้อ…เข้า…เข้าใจ…มั้ง…ครับ’ พระเอกหนุ่มผู้พลิกมารับบทตัวร้ายครั้งแรกกะพริบตาปริบๆ พยักหน้ารับอย่างกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
แม่หมายถึงว่า…ท่านเจอยายของเขาแล้ว แต่ที่ร้องบอกว่า ‘เจอแล้ว’ เมื่อครู่ไม่ได้หมายถึงยาย อย่างนั้น…สินะ?
‘โอ๊ยยย เอาใหม่ เหมือนเอาใหม่! เมื่อกี้แม่คงตื่นเต้นมากไปหน่อย’ คุณมัทนาถอนหายใจ ขยับวางโทรศัพท์บนแท่นวางที่เป็นสแตนดี้อะครีลิกรูปลูกชายท่านเอง สองมือยกขึ้นถูใบหน้างดงามอย่างไม่เบานัก พอตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยแววตาเป็นประกาย ‘แม่หมายความว่าแม่เจอผู้หญิงคนนั้นแล้วนะลูก!’
เดิมทีคำว่าผู้หญิงคนนั้นของแม่ควรทำให้มนายุมึนงงไปชั่วขณะ ทว่าช่วงหนึ่งเดือนกว่าๆ มานี้ท่านพร่ำพูดถึงแต่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ไม่หยุด เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าท่านหมายถึงใคร
‘แม่…หมายถึง…เธอ’
‘ใช่ลูกใช่ แม่หมายถึงเธอนั่นแหละ!’
การใช้ฝ่ายมือถูใบหน้าเพื่อรวบรวมสติเมื่อครู่ไม่ได้เสียเปล่า เพราะนอกจากจะทำให้ท่านเรียบเรียงคำพูดได้รู้เรื่องกว่าทีแรกแล้ว คุณมัทนายังมีสติพอจะรู้ว่าตอนนี้ลูกชายคงกำลังอยู่ในช่วงพักกอง แม้มนายุจะเสียบหูฟังสนทนากับท่าน หากก็ไม่ควรหลุดปากอะไรที่อาจจะทำให้เกิดข่าวใหญ่โตขึ้นมาได้
เป็นต้นว่า ‘แม่เจอ ‘สะใภ้’ ของแม่แล้ว’ หรือ ‘แม่เจอ ‘เจ้าสาว’ ของเหมือนแล้วนะลูก’
‘แม่ไปเจอเธอได้ไงฮะ’
แม้มนายุจะไม่เชื่อถือคำแนะนำเรื่องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรนั่น แต่ความตื่นเต้นของมารดาก็กระตุ้นความอยากรู้ของเขาขึ้นมาได้เหมือนกัน
แม่ไปเจอผู้หญิงคนนั้นได้ยังไงนะ
ใจจริงคุณมัทนาเองก็อยากจะเล่าเรื่องให้ลูกรู้เสียเดี๋ยวนั้น หากท่านก็เริ่มใจเย็นพอจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา
‘ไว้เลิกกองวันนี้เหมือนคอลล์มาหาแม่นะลูก’
‘ไม่ต้องฮะแม่ ถ่ายซีนนี้เสร็จเหมือนก็หมดคิวรอบนี้แล้ว เดี๋ยวเหมือนกลับไปคุยกับแม่คืนนี้เลยละกัน’
‘โอเคลูก ถ้างั้นก็ตั้งใจทำงานและขับรถกลับดีๆ นะครับ’
‘ครับแม่ รักแม่ครับ’
พระเอกหนุ่มบอกรักมารดาทิ้งท้ายเหมือนกับทุกครั้ง และคืนนั้นหลังจากเขากลับถึงคอนโดฯ ใจกลางกรุง มารดาพร้อมคุณยายที่ปกติท่านจะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทว่าวันนั้นกลับถ่างตารอเขาอยู่ก็เล่าให้ฟังด้วยท่าทางตื่นเต้นปนปลื้มใจ
‘หนูคนนั้นน่ะน่ารักนะเหมือน แม่เราอาจจะเห็นแค่แวบๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่ยายอยู่ด้วยตั้งเกือบชั่วโมง หน้าตาก็น่ารัก แถมยังมีน้ำใจมากด้วย’ คุณมาลีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยอมเข้านอนตามคำเกลี้ยกล่อมของเขากับแม่ และที่ท่านยอมนอนง่ายๆ นอกจากเพราะความง่วงแล้วก็เพราะเล่าเรื่องของ ‘หนูคนนั้น’ ด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจนครบสามรอบแล้ว
‘ทีแรกที่ซินแสหมิงเขาแนะนำมา…แม่ก็ยังหวั่นๆ นะเหมือน กลัวว่าการเลือกผู้หญิงจากวันเดือนปีเกิดจะได้คนแปลกๆ นิสัยไม่ดีมาเป็นสะใภ้ แต่เท่าที่ดูแล้วฟังยายเขาเล่า…แม่ว่าหนูคนนั้นโอเคเลย’
เหมือนจะมีเหตุผล
มนายุลอบกลอกตาไม่ให้แม่เห็น ถึงฟังแล้วเขาจะค่อนข้างประทับใจผู้หญิงคนนั้นที่ช่วยดูแลยายให้ แต่ก็อดค้านไม่ได้ว่า
‘แม่ฮะ เรื่องแค่นี้กับการเจอกันประเดี๋ยวประด๋าวของคุณยายกับผู้หญิงคนนั้นมันไม่ได้การันตีเลยนะว่าเธอจะนิสัยดีน่ารักอย่างที่แม่กับคุณยายมองจริงๆ’
ชายหนุ่มเลือกจะใช้คำว่า ‘มอง’ แทน ‘มโน’ เพราะกลัวจะรุนแรงกับบุพการีเกินไป
‘ก็จริงของเหมือน’ คุณมัทนาพยักหน้ารับ มนายุแอบเลิกคิ้วแปลกใจที่แม่ยอมง่ายๆ แต่สุดท้ายพระเอกหนุ่มก็ต้องลอบถอนหายใจกับประโยคต่อมาของท่าน ‘แต่ยังไงถ้าเราตามหาเธอเจอ และถ้ากำไลเหมือนเปลี่ยนสีจริงๆ เราก็ลองทำความรู้จักกันผู้หญิงคนนั้นดูก่อนก็ไม่เลวนะเหมือน แบบยังไม่ต้องบอกเขาก็ได้ว่าเรามีจุดประสงค์อะไร’
ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้วไหมล่ะ
อย่าว่าแต่ด้วยอาชีพการงานของเขาเลย มนายุคิดว่าไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ควรทักทายทำความรู้จักผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งแล้วบอกจุดประสงค์เธอชัดเจนว่า ‘สวัสดีครับ เรามาทำความรู้จักกันนะ ถ้าคุณดีมากพอ ผมจะขอคุณแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์เบญจเพส’
‘ก็แล้วแต่แม่ละกันฮะ’
มนายุเลือกตอบไปแบบนั้นเพื่อความสบายใจของแม่ พระเอกหนุ่มไม่คิดว่าจะตามหา ‘เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์’ ของเขาได้ง่ายดายนัก เพราะพอความตื่นเต้นจางหายไปคุณมัทนาก็พูดเองว่าที่จำได้แม่นคือวันเดือนปีเกิด ส่วนชื่อนามสกุลนั้นท่านไม่ค่อยแน่ใจ
‘ถ้าแม่จำไม่ผิดน่าจะชื่อลิป ลิส ลิน…หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ…’
ขนาดแม่ยังไม่มั่นใจในข้อมูล แล้วจะตามหากันยังไงล่ะนั่น จากวันเดือนปีเกิดหรือ เอาเข้าจริงผู้หญิงที่เกิดวันเดือนปีนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลกซะหน่อย บางทีคนที่แม่เจออาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้กำไลหยกเขาเปลี่ยนสีได้ด้วยซ้ำ (กรณีที่มันเปลี่ยนสีได้จริงๆ น่ะนะ)
และหลังจากวันนั้นมนายุก็ไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรกับแม่อีก ท่านเองก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขาเช่นกัน ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเพราะคุณมัทนายังหาผู้หญิงคนนั้นไม่พบ หรือเพราะว่าช่วงหนึ่งเดือนมานี้เขาอยู่รอดปลอดภัยดีไม่มีอุบัติเหตุอะไรอีกจนท่านสบายใจขึ้นและเลิกคิดเรื่องที่เขามองว่าโคตรไร้สาระ แบบนั้นไปในที่สุด
อย่างที่เคยบอกว่ามนายุไม่เคยมีปัญหากับความเชื่อมั่นศรัทธาที่คุณมัทนามีต่อซินแส และเขาเองแม้จะไม่เชื่อถือในเรื่องดวงชะตาอย่างจริงแต่ก็ไม่คิดจะลบหลู่อะไร ทว่านั่นมันคนละเรื่องกับที่ซินแสบอกว่าเขาควรแต่งงานกับผู้หญิงที่เกิดหลังเขาหนึ่งปี แต่เกิดก่อนหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันเพื่อให้ดวงของเธอมาเสริมดวงเขา ปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้หายไปจากชีวิตเบญจเพส
มนายุไม่ได้โลกสวยขนาดไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีคนแต่งงานกันด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ความรัก อย่างละครหลายเรื่องที่เขาเคยแสดงชายหนุ่มก็เคยรับบทพระเอกที่แต่งงานกับนางเอกด้วยเหตุผลบางประการ แม้สุดท้ายในละครจะลงเอยกันด้วยความรัก แต่เขาไม่คิดว่าชีวิตจริงจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้ ก็ดูอย่างหลายคู่ที่รักกันมาหลายปี แต่งงานกันด้วยความรักสุดท้ายยังจบด้วยการเลิกรา นับประสาอะไรกับการแต่งงานที่ไม่มีพื้นฐานความรักความเข้าใจ ยิ่งถ้าเป็นเหตุผลบ้าๆ บอๆ อย่างแต่งงานสะเดาะเคราะห์กับใครก็ไม่รู้นี่…
หนุ่มหน้าหวานเกินเพศจนเคยโดนแฟนสาวสองในสามบอกเลิกฐานที่เขา ‘สวยเกินเจ้าหล่อน’ บิดริมฝีปาก ดวงตาซึ่งมักเปล่งประกายสดใสอยู่เสมอฉายแววหยัน
ไม่มีทาง ใครจะบ้าทำอะไรแบบนั้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่เขาแน่ๆ ล่ะ
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ มือซ้ายแกะกระดุมคอระบายความอึดอัดขณะที่มือขวายังกำพวงมาลัยไว้มั่น ดวงตามองป้ายบอกทางสู่กรุงเทพฯ
ตามปกติเวลาออกกองต่างจังหวัดมนายุจะโดยสารมาในรถตู้อเนกประสงค์สีดำคันใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดย ‘เนตรา’ ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นทั้งคนขับรถและผู้ดูแลส่วนตัว เพราะแม้ตามหลักการแล้ว ‘อาตมัน’ จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา แต่ด้วยอดีตพระเอกดังยังมีงานเบื้องหน้ามากมาย คนที่เป็น ‘ผู้จัดการ’ จริงๆ ที่คอยดูแลเกือบทุกเรื่องให้เขาจึงเป็นเนตรา
ทว่าเพราะหนึ่งวันก่อนออกเดินทางหนุ่มผิวขาวจัดกลับอาหารเป็นพิษจนต้องเข้าโรงพยาบาล มนายุเองก็เห็นว่าระยะทางไม่ไกลมากจึงเลือกจะขับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นมาด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นรถตู้คันใหญ่ ทีแรกเนตราที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานบอกว่าวันนี้จะนั่งรถสาธารณะมาขับรถพาเขากลับไป แต่พระเอกหนุ่มยังห่วงอาการของอีกฝ่ายอยู่มาก และตัวเขาเองก็อยากรีบกลับไปเซอร์ไพรส์วันครบรอบแต่งงานปีที่ยี่สิบเจ็ดของบิดามารดา ในเมื่อฉากสุดท้ายถ่ายจบตอนสาย จากกาญจนบุรีเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีเส้นทางสลับซับซ้อนหรืออันตรายอะไร มนายุจึงยืนกรานว่าเขาสามารถขับรถกลับเองได้อย่างสบายๆ
ระหว่างที่ชายหนุ่มบิดคอซ้ายขวาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบ เพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า เมื่อสายตาโฟกัสบนถนนอีกทีเขาก็ต้องร้องลั่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างมองภาพงูตัวใหญ่ซึ่งกำลังเลื้อยข้ามถนนอยู่ในระยะไม่กี่สิบเมตรข้างหน้า เพราะวันนี้เขาใช้ทางลัด บนถนนขนาดสองเลนแทบไม่มีรถคันอื่นวิ่งผ่านมนายุจึงเหยียบคันเร่งเต็มที่ อัตราความเร็วแบบที่เขามั่นใจเลยว่าเจ้างูนั่นมันข้ามถนนไม่พ้นก่อนรถเขาไปถึงแน่ๆ
ด้วยสัญชาตญาณมนายุตัดสินใจหักพวงมาลัยทันที!
“รักแรกนี่มันจริงๆ เลยนะ เป็นคนอยากจะมาเที่ยวเองแท้ๆ แต่ดันตื่นสายซะได้ ดูดิ๊ แทนที่ตอนนี้จะอยู่รีสอร์ตแล้ว นี่เพิ่งเข้ากาญจน์มาไม่เท่าไหร่เอง”
ปรียาวตีซึ่งประจำตำแหน่งพลขับยังบ่นพึมพำไม่หยุดปาก ขณะที่คนตื่นสายซึ่งขอโทษมาหลายทีจนเริ่มหงุดหงิดบ้างหน้างอ
“รักก็ขอโทษปิ๊งไปตั้งหลายรอบแล้วมั้ยอ่ะ ปิ๊งไม่เคยตื่นสายหรือไง ฮะ”
“นี่! ทำผิดแล้วยังจะมาเสียงแข็งใส่ปิ๊งอีกนะรักแรกน่ะ! ถ้ารักแรกไม่ได้เอาแต่อ่านนิยายจนเกือบตีสาม พอเช้าก็ลุกไม่ขึ้นแบบนี้…ปิ๊งคงไม่ด่าขนาดนี้มะ มีอย่างที่ไหนรักแรกเป็นคนอยากมาเที่ยวเองแท้ๆ ปิ๊งก็ยอมมาเป็นเพื่อน แถมขับรถให้ด้วย แล้วรักแรกยังจะมานอนดึกตื่นสายอีก นี่! อย่าหลับนะยะ! รักแรกต้องถ่างตานั่งเป็นเพื่อนปิ๊งจนกว่าจะถึง!”
“เออๆ รู้แล้วน่า เอ้า! เอานี่ยัดปากไปเลยไป” มือเรียวของคนง่วงนอนจนตาแทบปิดแต่ต้องไถ่โทษด้วยการถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนล้วงลงไปในถุงขนม คว้ามันฝรั่งทอดกรอบชิ้นโตยัดปากคนขับ
“รักแรก!”
ปรียาวตีแว้ดทั้งๆ ที่ขนมยังอยู่เต็มปาก
ปกติคนที่ได้รับการอบรมเรื่องกิริยามารยาทมาดีอย่างหล่อนไม่เคยกินไปพูดไป เวลามีอาหารอยู่ในปากจะเคี้ยวจนหมดแล้วค่อยพูด แต่กับคนที่สนิทสนมรู้ไส้รู้พุงกันดีอย่างลิปสา หญิงสาวไม่ลังเลที่จะแว้ดใส่โดยไม่คิดรักษามารยาทภาพลักษณ์อะไร
“อี๊ อย่าแว้ดทั้งที่หนมยังอยู่ในปากได้มะ เกิดร่วงออกมาทำไงอ่ะ แหวะ!” รีไรเตอร์สาวสะบัดไหล่ แกล้งทำสีหน้าขยะแขยงใส่เพื่อน “ว่าแต่ทำไมถนนเส้นนี้มันแทบไม่มีรถเลยอ่ะ ปิ๊งพาหลงทางป้ะเนี่ย”
“หลงบ้าหลงบออะไรล่ะ ปิ๊งใช้ทางลัดย่ะ! ก็รักแรกตื่นโคตรสายขนาดนี้ขืนใช้เส้นปกติอีกนานกว่าจะถึง…ปิ๊งหิวข้าวแล้ว”
“แล้วปิ๊งแน่ใจเหรอว่ามาถูกอ่ะ เราไม่ใช่คนพื้นที่นะโว้ย”
“เออ ถูกแน่นอน ปิ๊งเพิ่งมากับเฮียโปรดเมื่อวีกก่อนเอง ช่วยเฮียดูจีพีเอสเองด้วย ไม่พลาดแน่ๆ…รักแรกน่ะไม่ต้องพูดมาก ส่งน้ำมาด้วย กินขนมจนคอแห้งแล้วเนี่ย” ว่าพลางหรี่ตาเมื่อมองเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งอยู่ด้านหน้า ใจนึกไปว่าชาวบ้านละแวกนี้เผาหญ้าหรือเผาขยะแบบที่เคยเจออยู่บ่อยๆ แถวบ้าน ในหัวเริ่มคำนวณว่าหล่อนอาจจะย้อนกลับไปใช้เส้นทางปกติเพื่อกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการขับรถฝ่ากลุ่มควัน
“เออๆ…ควันอะไรน่ะ” ลิปสาโคลงศีรษะ ก้มหน้าส่งน้ำอัดลมแก้วใหญ่ไปจ่อถึงปากเพื่อน ขณะที่สายตากวาดมองหาต้นตอจนเห็นรถยนต์ไฟลุกไหม้อยู่ริมถนนด้านหน้า มือเผลอกระตุกแก้วจนหลอดหลุดออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม
“แค่ก! นังรักแรก! นี่ตกลงแกจะมีเรื่องกับฉันให้ได้ใช่มั้ย ฮะ!” คนที่เริ่มโมโหจนสรรพนามเปลี่ยน จากที่เคยแทนตัวกันและกันด้วยชื่อเล่นด้วยคุ้นชินมาแต่เล็กก็เริ่มขึ้น ‘ฉัน’ ขึ้น ‘แก’
“อย่าเพิ่งเหวี่ยงใส่รักได้มั้ยปิ๊ง โน่น มองโน่นก่อน”
“เฮ้ย!”
สาวหมวยร้องลั่นเมื่อเห็นแล้วว่าจุดเกิดเหตุของกลุ่มควันไม่ใช่การเผาหญ้าเผาขยะอย่างที่คาด หากเป็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกกลุ่มควันกลบทับจนแทบมองไม่เห็น
แม้จะตกใจขนาดไหน หญิงสาวที่หัดขับรถมาตั้งแต่อายุสิบแปดก็มีสติพอจะเปิดไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ก่อนหันไปสบตาเพื่อนด้วยสีหน้ากังวล
“รักแรก…รักแรกว่า…มีคนในรถมั้ย”
“ไม่…ไม่รู้อ่ะ” คนที่เพิ่งเคยเห็นอุบัติเหตุรุนแรงแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกันส่ายหน้า ตระหนกจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจนกว่าเสียงเพื่อน ลิปสาไม่แน่ใจว่าเธออุปาทานไปเองหรืออย่างไรถึงได้รู้สึกว่าอุณหภูมิเริ่มร้อนขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศในรถ
“ปิ๊งว่าปิ๊งถอยรถออกไปอีกหน่อยดีกว่าว่ะ”
“อือ” หญิงสาวพยักหน้าลอยๆ จังหวะที่หางตากวาดมองไปก็พบเงาร่างของใครบางคนริมถนนอีกฝั่ง ห่างจากรถยนต์ของเธอไม่เท่าไหร่ ลิปสาเดาว่าที่เมื่อแรกไม่เห็นเป็นเพราะกลุ่มควันบดบังเอาไว้ เธอรีบร้องบอกเพื่อน “ปิ๊ง! ปิ๊ง! นั่นมัน…คนนี่!”
ไม่ทันให้เพื่อนตั้งตัว ทันทีที่รถจอดสนิทลิปสาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยก้าวลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
“เอ้า! รักแรก! เฮ้ย รักแรกจะลงไปแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่มันอันตรายนะ! โอ๊ยยย…ทำไมช่วงนี้รักแรกมันเป็นคนดีผิดปกติช่วยเหลือคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้วะเนี่ยยย”
แม้ปากจะบ่นแต่สาวหมวยก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือ ก้าวตามเพื่อนลงไปติดๆ
มนายุทิ้งร่างลงบนขอบถนนอีกฝั่ง ดวงตาเบิกกว้างมองซากรถยนต์ที่เกิดไฟลุกซึ่งอยู่ห่างไปเกือบกิโล…นั่นคือระยะทางทั้งหมด…ที่เขาพาตัวเองหนีออกมาได้
หนุ่มหน้าหวานหอบหายใจ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบอาบทั่วกรอบหน้าและลำคอ ร่างสูงโปร่งสั่นสะท้านเมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
หลังหักพวงมาลัยลงข้างทางกะทันหัน แม้จะพยายามเบรกแต่สุดท้ายรถของเขาก็ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ แรงกระแทกทำให้เขามึนหัวแต่ไม่ถึงกับหมดสติ ใช้เวลาครู่หนึ่งสำรวจร่างกายตัวเองว่านอกจากอาการเจ็บหน้าอกกับข้อเท้าขวาและรอยกระจกบาดตามใบหน้ากับท่อนแขนแล้วเขาก็พอจะขยับตัวไหวอยู่
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรถของเขาบ้าง หากควันที่พวยพุ่งจากกระโปรงหน้ารถก็ทำให้ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์และงัดตัวเองออกไปยืนนอกตัวรถได้สำเร็จ เดิมทีเขาใช้มือหนึ่งยันหลังคารถไว้แทนการพยุงตัว ก็ไม่รู้ว่าเจ้าสมาร์ตโฟนราคาแพงระยับเกิดขัดข้องเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่หรือเพราะอยู่ในเส้นทางที่แวดล้อมด้วยภูเขากันแน่ ร่างสูงที่ยังมึนงงและมีบาดแผลกระจกบาดต้องเดินลากขาออกห่างจากจุดเกิดเหตุขึ้นไปเพื่อหาสัญญาณโทรศัพท์ หางตาเหลือบมองหางูเจ้าปัญหาก็พบว่ามันกำลังเลื้อยเข้าไปในโพรงหญ้าอีกฝั่งอย่างปลอดภัย
ให้ตาย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะเป็นคนดีขนาดยอมขับรถชนเพื่อให้งูตัวหนึ่งปลอดภัย
พระเอกหนุ่มส่ายหัวอย่างหงุดหงิดตัวเอง ระหว่างที่เดินไกลออกมาจากจุดเกิดเหตุได้สักระยะ จมูกก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับ…
น้ำมัน?
ข้อสันนิษฐานในใจยังไม่ทันจางหายไอร้อนก็ปะทะแผ่นหลัง มนายุหันกลับไปดูก็ต้องอ้าปากค้างกับภาพพาหนะที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังอยู่ในนั้น เกิดไฟลุกท่วมตรงกระโปรงหน้า ก่อนจะลามไปทั้งคันอย่างรวดเร็ว!
เท่านั้นเอง…ที่สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทำให้เขากัดฟันวิ่งออกมาให้ไกลที่สุดก่อนจะหมดแรงอยู่ตรงนี้
มือแกร่งที่ยังกำโทรศัพท์ไว้แน่นสั่นไม่หยุด หน้าอกสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วงจากอัตราการเต้นของหัวใจ
เมื่อกี้นี้เขา…
พระเอกหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ
เพียงแค่คิดว่าถ้าเขาไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากตัวรถได้ทัน หรือว่าถ้าเขายังยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เดินตามหาสัญญาณโทรศัพท์แล้วล่ะก็…
ทั้งๆ ที่ห่างกันไม่ไกลมีเปลวไฟกองใหญ่ลุกท่วม หากเรือนร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มกลับเย็นยะเยือก ไหวสะท้านกับความตายที่ใกล้เพียงเส้นบางๆ ขวางกั้น สมองสั่งให้เขารีบกดโทรศัพท์หาใครสักคนให้มาช่วยพาออกไปจากจุดเกิดเหตุ ไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งเขาไม่มีข้อมูลติดต่อ ทว่าสิ่งที่มนายุทำได้กลับเป็นการนั่งกำมือสั่นๆ อยู่ริมถนน ขณะดวงตาเบิกกว้างจ้องไปยังซากยานพาหนะที่เขาเป็นคนขับมาความคิดบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัว
หรือบางทีแล้ว…เขาอาจจะยังอยู่ในรถคันนั้น ส่วนตัวเขาในเวลานี้เป็นเพียงแค่…วิญญาณ
…วิญญาณ…ที่คิดว่าตัวเองยังไม่ตาย
“คุณ! คุณคะ คุณ!”
อยู่ดีๆ เสียงของใครบางคนก็ฉุดเขาให้ลุกออกจากโลกใบเดิมที่มีแค่ตัวเองกับเปลวไฟลุกท่วม พระเอกชื่อดังเงยหน้าที่ปราศจากสีเลือดขึ้นมองใครคนนั้นด้วยสายตาพร่าเลือน
แรกเริ่มมนายุนึกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สายตาเขามีปัญหา หากวินาทีต่อมาชายหนุ่มถึงได้รู้ว่าความพร่าเลือนนั้นเกิดจากฝ้าน้ำตาบางเบาขึ้นบดบัง
“คุณ…เหมือน?!”
เมื่อลิปสาเห็นผู้ประสบอุบัติเหตุชัดตาว่าเป็นใคร เธอก็อุทานชื่อเขาเสียงดัง มืออ่อนนุ่มที่แตะท่อนแขนเขาสั่นระริก และสัมผัสนั้นเอง…ที่ยืนยันให้มนายุแน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เขายังอยู่…ยังอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่วิญญาณ
ชายหนุ่มเอื้อมมือไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปหาเธอ หญิงสาวแปลกหน้ายื่นมือมารับเขาไว้ และไม่ทันให้เธอตั้งตัว…มนายุกลับดึงเธอเข้ามากอดไว้ สูดลมหายใจหอบเอากลิ่นหอมบางเบาเข้าไปขับไล่กลิ่นเหม็นไหม้ที่คั่งค้างเต็มฆานประสาท เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ถูกใช้ไปกับการกอดรัดคนแปลกหน้าเพื่อตอกย้ำให้ตัวเขาเองได้มั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบเดิม ไม่ได้มอดไหม้ไปในเปลวเพลิงลุกโชนตรงนั้น ริมฝีปากซีดเผือดขยับเป็นรอยยิ้มขณะเอ่ยปากเบาๆ
“ขอบ…ขอบคุณที่…ที่มาช่วยผม ขอบคุณ”
…กริ๊ง~