LOVE
ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 4 – บทที่ 5
บทที่ 5 พลเมืองดี
ตั้งแต่พบว่าคนที่เฉียดตายคือมนายุ…พระเอกหนุ่มคนโปรดที่เธอยกให้เป็นสามีมโน ซ้ำเขายังหมดสติไปทั้งๆ ที่ยังกอดเธออยู่ สมองของลิปสาก็ว่างเปล่า เธอทำอะไรไม่ถูกนอกจากกอดเขาเอาไว้แบบนั้น จนปรียาวตีที่ควบคุมสติได้ดีที่สุดก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทว่าสุดท้ายสองสาวก็ตัดสินใจพาหนุ่มหน้าหวานส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งโชคดีว่าก่อนหน้านี้พวกเธอเห็นอยู่แวบๆ
มนายุฟื้นขึ้นมาก่อนถึงโรงพยาบาลไม่นาน ชายหนุ่มยื่นสมบัติชิ้นเดียวที่ไม่ได้มอดไหม้ไปพร้อมกับรถคันนั้นให้ลิปสาซึ่งนั่งประคองเขาอยู่ที่เบาะหลัง ร้องขอด้วยเสียงแหบพร่าว่าช่วยติดต่อครอบครัวของเขาให้ที ดังนั้นหลังส่งเขาเข้าห้องฉุกเฉินลิปสาที่เพิ่งรวบรวมสติได้ก็ลองกด Emergency call บนหน้าจอไอโฟนอีกฝ่าย ซึ่งโชคดีที่ชายหนุ่มลงข้อมูลติดต่อเป็นชื่อแม่ของเขา ไม่งั้นเธออาจจะต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายออกจากห้องฉุกเฉินจะได้เอานิ้วเขาสแกนปลดล็อกเครื่อง
“แล้ว…เอาไงกันเรา”
ปรียาวตีที่ตามมานั่งข้างๆ วางมือบนไหล่เพื่อน ถามเสียงเบา และเพียงแค่ลิปสาเงยหน้าขึ้นมาหล่อนก็อ่านความต้องการของอีกฝ่ายออก
“คือว่ารัก…”
ลิปสาทำหน้าอึกอัก และแค่เห็นสีหน้าแบบนั้นปรียาวตีก็ได้คำตอบ
“เออ รู้แล้ว” สาวหมวยตัดบทพลางถอนหายใจ “เวลาแบบนี้ใครจะมีอารมณ์ไปเที่ยวต่อล่ะเนอะ งั้นเดี๋ยวเรานั่งรอตรงนี้ไปก่อนละกัน ถ้าครอบครัวเขามาแล้วค่อยไป…ไม่งั้นก็รอจนกว่าหมอจะออกมาอ่ะ”
“อื้อ ขอบใจนะ” ลิปสาส่งยิ้มเซียวให้เพื่อน มือสองข้างยังกำโทรศัพท์ของมนายุไว้แน่น เพียงแค่คิดไปถึงภาพรถยนต์ของเขาที่ไฟลุกทั้งคันและสภาพของพระเอกคนโปรดที่เธอเคยเห็นแต่ตอนเขายิ้มสดใสร่าเริงอยู่ตามสื่อต่างๆ…ร่างเพรียวก็สั่นสะท้านจนต้องกัดริมฝีปากข่มกลั้นน้ำตา
ปรียาวตีเหล่มองขอบตาที่เริ่มมีน้ำเอ่อคลอ นักเขียนสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจอ้าแขนออก พอเห็นเพื่อนมองอย่างมึนงงก็กลอกตา บอกเสียงเบื่อๆ
“เอ้า เห็นว่ากำลังเครียดมาก แล้วตรงนี้ก็ไม่มีคุณอ้อมกอดให้กอด…เพราะงั้นจะให้ยืมอ้อมกอดของปิ๊งแทนละกัน”
ลิปสาเบะปาก โถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเพื่อนสาวคนสวยทันที
ในโถงทางเดินของโรงพยาบาลสตรีวัยกลางคนที่ยังคงความงดงามไว้ได้ไม่ผิดจากวันวานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาซึ่งยังไม่หยุดไหลตั้งแต่ทราบข่าว ขณะที่สองขาวิ่งพรวดโดยมีจุดหมายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เยื้องไปทางด้านหลังของท่านคือชายผู้เป็นคู่ชีวิตมาเกือบสามสิบปี
“มัท…ใจเย็น อย่าวิ่งแบบนั้น”
คุณสมภพที่วิ่งตามมาร้องบอกภรรยา ทั้งที่ใจท่านเองก็ร้อนรนไม่ต่างกัน
หลังจากได้ข่าวว่าลูกชายคนเดียวประสบอุบัติเหตุจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล แม้ปลายสายที่ใช้โทรศัพท์ของมนายุติดต่อมาจะไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไร หากแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สองสามีภรรยาซึ่งตั้งใจมาเซอร์ไพรส์ลูกชายจนเกือบเข้าเขตกาญจนบุรีแล้วรีบเปลี่ยนเส้นทางจากรีสอร์ตที่ลูกพักมาเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้
เพราะเรื่องของมนายุยังไม่เป็นข่าว ทำให้หน้าห้องฉุกเฉินมีเพียงหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ก่อน และทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกท่านสองสาวก็สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกัน
“ฮึก…เหมือน…” คนเป็นแม่ถลาไปเกาะขอบประตูที่ขวางกั้นระหว่างท่านกับลูกชาย ความหวาดกลัวโอบล้อมไปทั้งใจเพราะไม่รู้เลยว่าอุบัติเหตุที่ลูกประสบนั้นร้ายแรงมากเพียงใด
“เอ่อ…คุณน้าคะ…” หลังปรึกษากันผ่านทางสายตาลิปสาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น พอดวงหน้าสวยชุ่มน้ำตาและรอยเศร้าหมองผสมหวาดหวั่นหันกลับมา เธอก็ยื่นไอโฟนรุ่นล่าสุดไปให้ “อันนี้…มือถือของเหมือนค่ะ”
“มือถือของเหมือน” คุณมัทนาพึมพำ มือสั่นเทารับสมบัติของลูกมากอดไว้แนบอก โอบประคองด้วยความระมัดระวังราวกับว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สมาร์ตโฟนราคาหลายหมื่น หากเป็นลูกชายผู้ไม่รู้เลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“หนูสองคนช่วยเหมือนไว้ใช่มั้ยลูก ลุงขอบใจพวกหนูมากเลยนะ” คุณสมภพที่ควบคุมสติได้ดีกว่าเอ่ยคำขอบคุณพร้อมกับประคองร่างภรรยาไปนั่งบนเก้าอี้
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรา…ผ่านไปเจอพอดี”
“แล้ว…หนูพอจะเล่าให้เราฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหมือนบ้าง ลุงรู้แค่ว่าเขารถชน”
คำถามของคุณสมภพทำให้สองเพื่อนรักต้องหันหน้าไปสบตากันอย่างลำบากใจ
พวกเธอไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะรับได้กับเหตุการณ์ที่พวกเธอได้เจอมา ซึ่งดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาจะเข้าใจ คุณมัทนารีบปาดน้ำตา บอกด้วยสีหน้าเข้มแข็งขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรนะหนู เล่ามาตามตรงได้เลย ไม่ตรงกลัวว่า…น้าจะรับไม่ได้”
“คือ…” ลิปสาสบตาปรียาวตี เพียงแค่นึกย้อนไปถึงภาพเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ มนายุที่นั่งอ่อนแรงอยู่ริมถนนและหมดสติไปในอ้อมกอดของเธอ ร่างเพรียวก็ไหวระริก ความกลัวโอบล้อมหัวใจจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
“ไม่เป็นไรรักแรก เดี๋ยวปิ๊งเล่าเอง” ปรียาวตีกลืนน้ำลายลงคอ ตบบ่าเพื่อนเบาๆ ตัดสินใจเล่าไปอย่างจงใจตัดบางช่วงบางตอนออก “ตอนพวกหนูไปถึง เหมือนออกมาห่างจากรถไกลมากแล้วค่ะ ยังมีสติอยู่ด้วย ก่อนถึงโรง’บาลเมื่อกี้ก็ยังบอกให้โทรหาพ่อแม่ให้เลยค่ะ”
“เหรอ ยังมีสติอยู่ใช่มั้ย” น้ำเสียงของคุณมัทนาดีขึ้น ริมฝีปากที่เม้มแน่นมานานคลายออกเป็นรอยยิ้ม
แค่รู้ว่าตอนลูกถึงโรงพยาบาลยังมีสติอยู่ท่านก็ใจชื้นขึ้นจนไม่ได้นึกสนใจทรัพย์สินภายนอกอย่างรถยนต์หรือข้าวของอย่างอื่น
เพราะสำหรับท่าน…แค่ลูกปลอดภัยก็พอแล้ว…พอแล้วจริงๆ
เป็นคุณสมภพที่เอะใจกับคำบอกเล่านั้น เพราะหากไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ หญิงสาวที่คงอายุไล่เลี่ยกับลูกชายไม่เท่าไหร่คงไม่ถึงกับร้องไห้ออกมา หากท่านก็ไม่คิดจะถามต่อหน้าภรรยา
พอเริ่มสบายใจขึ้นคุณมัทนาก็มีแก่ใจหันมาสนใจพลเมืองดีทั้งสอง ทว่ายิ่งพิศมองใบหน้าของพวกเธอก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตาจนต้องเอ่ยปาก
“เอ่อ ขอโทษนะจ๊ะ น้าเคยเจอพวกหนูมาก่อนรึเปล่า”
“คะ?” ลิปสาที่นั่งคิดถึงภาพอุบัติเหตุก่อนหน้าสะดุ้งหันไปมองคุณมัทนาซึ่งนั่งติดกัน เพราะไม่ทันคิดว่ามารดาของมนายุผู้น่าจะเจอคนมากหน้าหลายตาจะจำเธอได้
“น้าว่า…น้าคุ้นๆ หน้าหนูน่ะจ้ะ เหมือนเคยเจอกันมาก่อน”
“อ๋อ…ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสั่นอยู่บ้าง “สักเดือนก่อน พวกหนูเจอคุณน้าที่ห้างน่ะค่ะ”
“เดือนก่อน? ที่ห้าง?” คุณมัทนาทวนคำ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองจากความกังวลถึงลูกชายในห้องฉุกเฉินไปคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เคยเจอสองสาว และพอมองหน้าซีดเผือดของคนข้างตัวชัดๆ อีกทีก็นึกออก “หนูที่เจอวันนั้น ที่ช่วยคุณยายไว้ใช่รึเปล่า”
ลิปสาสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่ออยู่ดีๆ มารดาของมนายุก็คว้ามือเธอไปเขย่าเบาๆ ดวงหน้าประดับรอยยิ้มยินดี
คะ…แค่ได้เจอเธออีกครั้ง ทำไม…ต้องดีใจขนาดนี้เนี่ย
“ใช่…ใช่ค่ะ”
“คุณ คุณคะ นี่ไงหนูคนนี้แหละที่มัทเล่าให้ฟัง” คุณมัทนาหันไปเขย่าแขนสามีด้วยความดีใจ และไม่รอปฏิกิริยาของคู่ชีวิตก็รีบหันกลับไปหาสองสาวอีกครั้ง “พวกหนูชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”
“เอ่อ…รักแรกค่ะ” ลิปสากะพริบตาปริบ เผลอบอกชื่อเล่นตัวเองด้วยสีหน้ามึนงงกับปฏิกิริยาของมารดาพระเอกดัง ไม่ต่างจากปรียาวตีเท่าไหร่
“ส่วนหนูชื่อปิ๊งค่ะ”
“โอเค หนูรักแรก หนูปิ๊ง ชื่อน่ารักกันจังนะลูก” ชื่อแรกท่านพึมพำอย่างตั้งใจจดจำ ส่วนชื่อหลังพึมพำตามมารยาท เพราะให้พูดกันตามจริงโฟกัสของท่านอยู่ที่ ‘หนูรักแรก’ ผู้มีวันเดือนปีเกิดตรงตามที่ซินแสหมิงเคยกล่าวไว้พอดิบพอดี “สองครั้งแล้วที่พวกหนูช่วยครอบครัวน้าเอาไว้ ขอบคุณมากจริงๆ นะลูก”
‘หวิดสิ้นชื่อ! เหมือน มนายุรอดหวุดหวิด หลังประสบอุบัติเหตุรถชนไฟลุกท่วม!’
‘อาถรรพ์เบญจเพส! พระเอกดังหวิดดับสยอง!’
‘แฟนคลับช็อก! เหมือน มนายุถูกหามส่งโรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุรถชนรุนแรง!’
‘หรืออาถรรพ์ละครฟอร์มยักษ์เล่นงานอีกราย?!?! เหมือน มนายุหวิดดับหลังกลับจากกองถ่าย ‘มงกุฎอคิราห์’…’
‘รอดปาฏิหาริย์ เหมือน มนายุขับรถชน ไฟลุกท่วมคัน!’
ดวงตากลมกวาดมองพาดหัวข่าวจากสำนักต่างๆ ที่ขึ้นเต็มหน้าฟีดเฟซบุ๊ก แน่นอนว่าภาพประกอบคงไม่พ้นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีดำของพระเอกหนุ่มซึ่งเหลือเพียงแค่ซาก คาดว่าคนที่ถ่ายภาพนี้ไว้น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุหลังพวกเธอตัดสินใจนำมนายุส่งโรงพยาบาลแล้ว
จากการกวาดตาอ่านผ่านๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าตอนแรกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถยนต์คันที่ประสบอุบัติเหตุไฟลุกท่วมอยู่ข้างทางเป็นของมนายุ เพราะได้รับแจ้งแค่ว่ามีอุบัติเหตุและตอนไปถึงคนเจ็บก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปแล้ว
ปลายนิ้วยาวขยายภาพรถยนต์ที่เหลือแต่ซากความเสียหายให้ใหญ่ขึ้น นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นพร้อมๆ กับหัวใจที่เริ่มบีบรัดด้วยความกลัว
ทั้งๆ ที่เธอกับเพื่อนคือคนแรกที่เจอเหตุการณ์ ทว่าตอนนั้นด้วยความตกใจและพุ่งความสนใจไปยังผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างมนายุ หญิงสาวจึงไม่ได้หันไปมองหรือจดจำรายละเอียดอะไรของรถคันนั้นมาก แต่ภาพทั้งจากกู้ภัยเองและจากหลายๆ คนที่แห่กันไปดูที่เกิดเหตุแล้วถ่ายภาพมาลงนั้นกลับทำให้สมองช่างฟุ้งซ่านของลิปสาจินตนาการเรื่องราวขึ้นมาเป็นฉากๆ ในหัว
ผู้คร่ำหวอดในวงการนิยายมานานเริ่มร่างภาพว่ามนายุขับรถมาอย่างไร เกิดอะไรขึ้นจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ต้องชนแรงขนาดไหนจึงได้รับความเสียหายจนเกิดไฟลุกท่วม และตัวมนายุเอง…ตอนประสบอุบัติเหตุเขาบาดเจ็บรุนแรงเพียงใด เอาตัวรอดออกมาจากรถคันนั้นได้ก่อนประกายไฟค่อยๆ ลุกโชนหรือรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเฉียดตาย
ลิปสาหลับตา สองมือที่ยังกุมโทรศัพท์ไว้ยกขึ้นแตะหน้าผากเบาๆ พยายามคิดถึงร่องรอยความเสียหายบนร่างของพระเอกคนโปรดว่าเขามีรอยไหม้ตรงไหนรึเปล่า แต่เธอคิดไม่ออกสักนิด คล้ายกับว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนละครที่ถูกเร่งความเร็วจนเธอดูไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ส่งเขาเข้าห้องฉุกเฉินและได้พบพ่อแม่ของชายหนุ่ม
พอคิดถึงภาพบุพการีของพระเอกหน้าหวาน ริมฝีปากเย็นชืดของคนที่แม้ภายนอกจะเริ่มดูปกติดี หากภายในยังขวัญเสียอยู่ไม่น้อยก็แย้มเป็นรอยยิ้ม
หลังจำได้ว่าเคยพบพวกเธอมาก่อนคุณมัทนาหรือที่ท่านคะยั้นคะยอให้เธอเรียกว่า ‘แม่มัท’ อย่างเป็นกันเอง หากลิปสากับปรียาวตีก็ทำได้เพียงเรียกท่านว่า ‘คุณน้า’ อย่างนอบน้อมก็ชวนพวกเธอคุยหลายเรื่อง รีไรเตอร์สาวไม่แน่ใจว่ามารดาของพระเอกหนุ่มเพียงแค่ต้องการเบนความสนใจของตัวเองออกจากความพะวงถึงอาการของลูกชายหรืออย่างไร แต่เธอก็พูดคุยกับท่านเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ลิปสาจำไม่ได้ แต่สุดท้ายแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ออกมาแจ้งข่าวดีว่ามนายุพ้นขีดอันตรายเรียบร้อยแล้วและเดี๋ยวจะนำเขาไปที่ห้องพักฟื้น พวกเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนมารดาของชายหนุ่มถึงกับปล่อยโฮออกมา ยกมือไหว้ขอบคุณหมอที่อายุรุ่นราวไล่เลี่ยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหันกลับมาจับมือขอบคุณพวกเธออีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นกัน
นอกจากนี้คุณมัทนายังเอ่ยปากชวนให้เธอกับปรียาวตีรอเยี่ยมมนายุด้วยกัน สองสาวตกใจกับความเป็นกันเองที่ท่านมอบให้เพราะต่างตระหนักดีว่ามนายุไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพระเอกที่อยู่ในระดับซุป’ตาร์เบอร์ต้นๆ คนหนึ่งของวงการ หากก็พอเข้าใจได้ว่าท่านคงต้องการตอบแทนที่พวกเธอช่วยเหลือเขาเอาไว้
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเคลื่อนย้ายไปไหน กองทัพนักข่าวซึ่งไม่รู้มาจากไหนก็แห่มาล้อมบุพการีของมนายุและแย่งกันตั้งคำถามที่หญิงสาวฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ได้รักษาความรู้สึกพ่อแม่ที่ลูกชายเพิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาเลยสักนิด ก่อนที่อาตมันซึ่งเป็นทั้งนักแสดงชื่อดังและต้นสังกัดของมนายุจะพาคนจำนวนหนึ่งก้าวเข้ามากันนักข่าวไว้
หนึ่งในนิสัยที่เหมือนกันราวฝาแฝดของลิปสาและปรียาวตีคือพวกเธอเกลียดการเป็นจุดเด่นให้คนจับจ้องสนใจ หญิงสาวทั้งสองจึงหาจังหวะยกมือไหว้บอกลาสองสามีภรรยา แต่ก่อนที่พวกเธอจะฝ่าวงล้อมนักข่าวออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นคุณมัทนาก็ทำบางอย่างที่ทำให้นักข่าวบางคนหันมาสนใจพวกเธอด้วยการคว้าข้อมือลิปสาไว้และร้องบอกว่า
‘เดี๋ยว! หนูรักแรก ไม่รอเยี่ยมเหมือนก่อนเหรอ’
‘คะ?! เอ่อ…’ ลิปสาอึกอัก ทีแรกเธอก็ว่าจะรอเยี่ยมอาการของพระเอกคนโปรด แต่ในสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้คนรักสงบอย่างเธออยากจะรีบปลีกตัวหนีไปให้ไกลมากกว่า
คล้ายจะอ่านความรู้สึกเธอออก แม้จะแสดงชัดว่าเสียดายหากคุณมัทนาก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ กระนั้นยังร้องขอบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวแปลกใจ
‘ถ้างั้นแม่ขอคอนแทกต์หนูหน่อยได้มั้ย แม่อยากขอบคุณหนูจริงๆ นะหนูรักแรก’
ในสภาวการณ์ที่ทุกอย่างดูวุ่นวายและนักข่าวบางส่วนเริ่มหันมาสนใจพวกเธอ ลิปสารีบควานหานามบัตรในกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้คุณมัทนา ยกมือไหว้ลาท่านกับสามี ก่อนจูงมือปรียาวตีวิ่งกันออกมาอย่างรวดเร็ว และพอคุณมัทนาที่หนีนักข่าวเข้าไปในห้องพักฟื้นของมนายุได้โทรศัพท์มาหา ก่อนเกริ่นว่ากำลังปรึกษากับอาตมันว่าจะแถลงข่าวเรื่องมนายุอย่างไรโดยเฉพาะเรื่องการให้ความช่วยเหลือของพวกเธอ สองสาวสบตากันแวบเดียวลิปสาก็ตอบได้ทันทีว่า
‘บอกว่าเป็นพลเมืองดีก็พอค่ะ’
แม้จะไม่มั่นใจว่าต่อให้บอกไปจริงๆ ว่าพวกเธอเป็นคนช่วยเหลือแล้วจะเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะไม่มีใครสนใจเลยก็ได้ แต่ใครจะรับประกันว่าจะไม่มีคนไทยที่ชอบ ‘เผือก’ และว่างจัดบางส่วนตามมาขุดประวัติพวกเธอจนกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในผู้ช่วยเหลือมนายุอย่างปรียาวตีนั้นสวยมากจริงๆ (นี่เธอไม่ได้อวยเพื่อนนะ…สาบาน) ทั้งยังเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงพอสมควรอีกต่างหาก
ลิปสาอาจจะชอบมโนว่าเธออยากเป็นแฟนมนายุจนตัวสั่น แต่เอาเข้าจริง…หญิงสาวก็รักชีวิตสุขสงบแบบบุคคลธรรมดาที่สามารถวิจารณ์ละครได้อย่างออกรส แสดงความคิดเห็นต่างๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างอิสระ ไม่ใช่มีใครก็ไม่รู้ตามมาสอดส่องเพราะอยากเผือกและอาจจะขุดออกไปด่าหากเธอแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับความคิดของคนส่วนใหญ่
“เฮ้อ!”
“เอ้า! ถอนหายใจอีกแล้ว นี่รักแรกยังไม่เลิกอ่านข่าวอีกเหรอเนี่ย”
ปรียาวตีที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำร้องทัก
“คือจริงๆ รักก็ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านข่าวไง แค่ไถเฟซแก้เซ็งอ่ะ แต่แบบมันมีแต่ข่าวเหมือนไง”
“อือฮึ” ร่างเพรียวระหงในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินไปนั่งบนเตียงตัวเองซึ่งถูกคั่นกลางด้วยโต๊ะหัวเตียงตัวเล็ก “จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยเนอะ ที่เราได้รู้เบื้องหลังข่าวใหญ่น่าตกใจแบบนี้ แถมยังมีส่วนอยู่ในเหตุการณ์อีก”
“อือ ใช่ โคตรเอ็กซ์คลูซีฟเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับ ในใจยังพะวงไปถึงพระเอกคนโปรดที่เธอยกให้เป็นสามีมโนคนปัจจุบัน ไม่รู้เลยว่าผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วมนายุจะได้ฟื้นขึ้นมาบ้างรึยัง
นอกจากความเป็นห่วงพระเอกคนโปรดยังมีอีกความคิดหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัว นำพาความหวาดกลัวครอบงำหัวใจจนแสดงออกชัดผ่านสีหน้า ชัด…จนปรียาวตียังต้องร้องทัก
“รักแรก…ทำไมทำหน้าแบบนั้น เป็นอะไร”
ลิปสาเม้มปาก เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนด้วยนัยน์ตาวาวรื้น เสียงสั่นพร่าพอๆ กับหัวใจเต้นแรงยามเอ่ยถึงความกลัวของตัวเอง
“ปิ๊ง…ปิ๊งว่า…ที่เหมือนประสบอุบัติเหตุ…เป็นเพราะรักรึเปล่า”
วูบแรกปรียาวตีทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้หล่อนต้องรีบสวมกอดเพื่อนไว้แน่น
“เพราะรักเป็นเทพีแห่งหายนะรึเปล่าปิ๊ง! เพราะรักชอบเหมือนมาก ชอบมากๆ มาหลายปี เหมือนเลย…ฮึก เลยซวยหนักจน…จน…เกือบ…ฮึก”
“ไม่ใช่! รักแรก! ไม่ใช่หรอก” นักเขียนสาวลูบหัวพลางปลอบ “ถ้าเป็นเพราะรักแรกจริง เหมือนจะเพิ่งมาเป็นเอาตอนผ่านไปห้าหกปีงี้เหรอ ไม่เกี่ยวหรอก! ปิ๊งว่า…” ดวงตาเรียวกลอกไปมา มองหาคำตอบเดียวที่หล่อนคิดว่าเป็นไปได้ที่สุด “เป็นเพราะเหมือนเจออาถรรพ์เบญจเพสอย่างที่ใครๆ เขาว่ากันต่างหาก”
เจ้าของดวงตากลมใสฉ่ำน้ำเงยหน้ามองเพื่อน ถามเสียงสั่น
“จริงอ่ะ”
จริงหรือ…ทุกเรื่องที่เกิดกับมนายุ เป็นเพราะอาถรรพ์เบญจเพสจริงๆ ใช่ไหม
มัน…ไม่เกี่ยวกับที่เธอชอบเขาใช่หรือเปล่า
“จริงสิ ไม่เกี่ยวกับรักแรกหรอก อย่ามโนไปเองหน่อยเลย”
โปรดติดตามตอนต่อไป