LOVE
ทดลองอ่าน วิวาห์ส่วนบุคคล บทที่ 8 – บทที่ 9
บทที่ 9 เชื่อเรื่องดวงรึเปล่า
เช้าวันเสาร์ที่แสนสุขของเธอได้ถูกทำลายลงแล้ว
ลิปสาบอกตัวเองแบบนั้น ขณะพลิกตัวใช้หมอนอุดหูหนีเสียงถกเถียงของมารดาและน้องชายที่ดังขึ้นมาจนถึงชั้นสอง
“แม่บอกไม่ได้เอาไปไง!”
“ก็ถ้าแม่ไม่ได้เอาไปมันจะหายไปไหน เลิฟจำได้ว่าวางไว้ตรงนี้อ่ะ!”
เด็กหนุ่มวัยเกือบเต็มสิบแปดผู้มีนัยน์ตาเรียวยาวบ่งบอกสายเลือดในตัวเถียงกลับหน้าดำหน้าแดงอย่างไม่ยอมแพ้ มือยังปัดควานหาของของตัวเองพลางบ่น “เนี่ย! เลิฟวางมันไว้บนโต๊ะรีดผ้า เลิฟจำได้!”
“แล้วโต๊ะรีดผ้ามันใช่ที่วางของมั้ยฮะ เลิฟ! ห้องตัวเองมีทำไมไม่เอาไปเก็บ แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาของมาวางไว้บนโต๊ะรีดผ้าน่ะ! วางไว้แล้วแม่จะรีดผ้าได้ยังไง หรือเลิฟจะรีดเอง?!”
“นี่ไง แม่ยอมรับแล้วใช่มั้ยล่ะว่าเอาของเลิฟไป”
“โอ๊ย ทำไมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ฮะเลิฟ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ได้เอาไป!”
“ถ้าไม่ใช่แม่แล้วจะใคร!”
“ก่อนจะหาว่าใครผิด เลิฟควรโทษตัวเองก่อนมั้ยที่ไม่เก็บให้ดีๆ น่ะ!”
เสียงซึ่งยังดังขึ้นมาโดยไม่ลดละทำเอาคนที่นอนตีสี่เพราะมัวแต่อ่านนิยายแปลจีนเจ็ดเล่มจบต้องลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิด ยกมือขยี้หัว คำรามในลำคอ
“โอ๊ยยย จะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!”
ร่างในชุดนอนสีขาวสะอาดพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ยังได้ยินเสียงปึงปังดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อนก็รู้ได้ทันทีว่าสงครามระหว่างแม่ลูกด้านล่างคงไม่จบลงง่ายๆ
และแม้จะไม่อยากยุ่งแค่ไหน แต่ลิปสารู้ดีว่าในวันที่ ‘คุณวรภพ’ ไม่อยู่ คนเดียวที่จะหยุดสงครามสายเลือดครั้งนี้ได้ก็มีแต่เธอ ลูกสาวคนโตและพี่สาวคนเดียวของคู่สงครามด้านล่างซึ่งยิ่งนานวันไปเธอยิ่งไม่มั่นใจว่าทั้งคู่ใช่แม่ลูกแท้ๆ ที่คลอดกันออกมาจริงๆ หรือเปล่า
หญิงสาวผู้อยากใช้ชีวิตวันหยุดอย่างสงบสุขบนเตียงแต่ไม่สามารถทำได้ผุดลุกจากที่นอนด้วยสีหน้าหงุดหงิด เดินกระแทกเท้าโครมๆ ลงไปด้านล่าง
“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าเนี่ย!”
สองแม่ลูกหันมามองเธออย่างพร้อมเพรียงและต่างฝ่ายต่างก็เล่าความจริงในมุมของตัวเอง
“เจ้! แม่ทำสมุดเลิฟหาย!”
“แม่ไม่ได้ทำนะรักแรก! ก็เจ้าเลิฟมันบอกว่าวางสมุดไว้บนโต๊ะรีดผ้า แต่แม่ไม่ได้เอาไป”
“ถ้าแม่ไม่ได้เอาไปแล้วใครจะเอาไปอ่ะ มีแม่รีดผ้าอยู่คนเดียว”
“อ๋อ นี่แกก็รู้เหรอว่าแม่รีดผ้าทั้งบ้านอยู่คนเดียว ถ้ารู้แล้วทำไมไม่สำนึก แล้วแกยังจะเอาของมาวางทิ้งไว้บนนี้อีก ฮะ!”
“โอ๊ยยย หยุดดด หยุดเถียงกันได้แล้ว!”
คนถูกปลุกด้วยเสียงวิวาทตะโกนห้ามเสียงดัง ลิปสาชักสีหน้าพลางหันไปมองน้องชาย
“เลิฟ! เจ้บอกกี่ทีแล้วฮะว่าไม่ให้เอาของมาวางบนโต๊ะรีดผ้า มันใช่ที่วางรึไง ห้องตัวเองก็มีก็เอาไปไว้ในห้องสิ”
“เจ้!”
น้องชายวัยฮอร์โมนมองเธอน้ำตาคลอที่พี่สาวไม่เข้าข้าง ลิปสาไม่สนใจ หันไปมองแม่ต่อ
“แม่ก็เหมือนกันนะคะ มีอะไรก็ปฏิเสธไว้ก่อนลูกเดียวเลย”
หญิงสาวกล่าวอย่างรู้นิสัยมารดาที่พอมีอะไรเกิดขึ้นก็ขอปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ทำไว้ก่อน แต่ประสบการณ์หลายอย่างที่ผ่านมาก็ท่านนั่นแหละที่เป็นคนทำ
ร่างเพรียวผลักน้องชายซึ่งเริ่มสูงแซงพี่ไปห่างๆ ก้มๆ เงยๆ หาอยู่แถวกองตะกร้าเสื้อผ้าไม่นานก็หยิบบางอย่างขึ้นมาถาม
“เล่มนี้ใช่มั้ย”
แม้สีหน้า ‘รัฐนันท์’ จะยังบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ก็รีบยื่นมือมารับสมุดของตัวเองไป
“ทีหลังก็อย่ามาวางของทิ้งไว้ข้างล่างอีก โดยเฉพาะโต๊ะรีดผ้า มันไม่ใช่ที่วางของ เข้าใจมั้ย”
ไม่มีคำตอบกลับจากวัยรุ่นของบ้าน รัฐนันท์มองพี่สาวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง คว้าข้าวของกระทืบเท้าปึงปังขึ้นบันได
ลิปสามองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม หลับตาสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ก็ยังทนไม่ไหวต้องตะโกนขึ้นไปอยู่ดี
“เลิฟ! อย่าทำกับเจ้กับแม่แบบนี้นะ!”
เด็กหนุ่มกำลังโตหันกลับมามอง ตะคอกกลับ
“ทำไมจะทำไม่ได้! อะไรๆ เจ้ก็เข้าข้างแต่แม่อ่ะ!”
หญิงสาวขบกราม
เมื่อกี้ไอ้น้องชายมันไม่ได้ยินรึไงว่าเธอก็เสี่ยงเป็นเปรตด้วยการบริภาษมารดาไปแล้วเหมือนกัน เอาที่ไหนมาบอกว่าเธอเข้าข้างแต่แม่กันเนี่ย!
“ก็เลิฟทำผิด”
“อะไรๆ เลิฟก็ทำผิดไปหมดนั่นแหละ ใครจะไปดีเหมือนเจ้ล่ะ!”
ลิปสาทำหน้าเหวอ เมื่ออยู่ดีๆ คนผิดก็กลายมาเป็นเธอ หญิงสาวฟังเสียงน้องชายเดินกระทืบเท้าขึ้นห้อง กระแทกประตูปิดดังโครมใหญ่อย่างนึกโมโห พอหันไปเห็นหน้ามารดาที่ทำท่าจะฟ้องขึ้นมาจึงรีบยกมือห้าม
“พอแล้วค่ะแม่พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว แค่นี้รักก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วอ่ะ”
ลูกสาวคนโตของบ้านส่ายหน้า หันหลังเดินกลับขึ้นห้องส่วนตัวของตัวเอง และทันทีที่ประตูบานกว้างปิดลงลิปสาก็พิงแผ่นหลัง หลับตาค่อยๆ ทรุดตัวนั่งกอดเข่า ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรก สงครามการวิวาทระหว่างคุณชาลินีกับรัฐนันท์เกิดขึ้นเป็นประจำจนเธอสมควรที่จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่น้ำตาใสๆ ก็ยังคงไหลรินออกมาจากหางตา
เบื่อ…
เธอเบื่อเหลือเกินที่ต้องอยู่ในบ้านซึ่งเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะเบาะแว้งของแม่กับน้องชายตั้งแต่เรื่องเล็กๆ จนถึงเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องที่น้องชายเป็นฝ่ายผิดเต็มประตูหรือบางครั้งที่มารดาเป็นฝ่ายเริ่ม
มือเล็กๆ กำเป็นหมัดแน่น ปลายเล็บจิกลงบนผิวเนื้อ ค่อยๆ พ่นลมหายใจแผ่วเบา
นี่ถ้าหากมีเงินเดือนเยอะกว่านี้ล่ะก็…เธอจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวแล้ว!
แม้เหตุการณ์ที่มารดาและน้องชายทะเลาะกันครั้งล่าสุดจะผ่านมาสองสามวันแล้ว แต่บรรยากาศในบ้านยังไม่ค่อยดีนัก เพราะพอทะเลาะกับแม่ทีไร รัฐนันท์จะทำหน้าบึ้ง กระแทกนู่นกระแทกนี่อยู่เป็นประจำ จะเพลาๆ การกระทำหน่อยก็ตอนอยู่ต่อหน้าคุณวรภพซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของลูกเมีย
การทะเลาะกันที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ของแม่กับน้องชายไล่ตั้งแต่เรื่องในบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องสำคัญอย่างแผนการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของรัฐนันท์ทำให้หญิงสาวทั้งเบื่อทั้งเครียดจนความคิดจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกปรากฏขึ้นในหัวถี่กว่าเดิม จนท้ายที่สุดสำหรับเธอผู้ติดบ้านก็เหลืออุปสรรคเพียงสองอย่าง
หนึ่งคือคำอนุญาตจากคุณวรภพ บิดาผู้เปรียบประดุจฮ่องเต้ประจำบ้านและสอง…เงินเดือนรีไรเตอร์ที่ขนาดไม่ได้เสียค่าหอยังพอใช้แค่เดือนชนเดือน
ลิปสาถอนหายใจ ใช้หลอดเขี่ยน้ำอัดลมในแก้วเล่นขณะรออาหารกลางวันอยู่ที่ร้านโปรดกับหฤทชนัน
“พี่รักถอนหายใจอีกแล้ว เครียดอะไรรึเปล่าคะเนี่ย”
คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของน้องรหัสคนสวยทำให้หญิงสาวซึ่งจมอยู่กับความเครียดมาหลายวันเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเพลียๆ ให้
“ก็นิดหน่อยอ่ะ” ลิปสาตอบแค่นั้นโดยไม่อธิบายต่อ เพราะนอกจากปรียาวตีที่รู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะสนิทสนมกันมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาในครอบครัวให้ใครฟัง
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ พี่รักบอกนิ่มได้เลยนะคะ ถึงนิ่มจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็รับฟังได้นะ” สะใภ้ตระกูลดังบอกด้วยสีหน้าจริงจัง สำหรับลูกสาวคนโตซึ่งแวดล้อมด้วยน้องชายฝาแฝดจอมเกรียน แถมพี่น้องของสามีก็เป็นผู้ชายกันหมดอย่างหฤทชนัน หล่อนค่อนข้างโหยหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพี่สาวที่สามารถคุยกันเรื่องผู้หญิงๆ ชวนกันติ่งชวนกันกรี๊ดแบบที่พี่น้องผู้ชายรอบตัวให้ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพบกับลิปสาซึ่งรสนิยมหลายอย่างไปในทางเดียวกัน หญิงสาวจึงค่อนข้างยึดติดกับพี่รหัสคนนี้ ไปๆ มาๆ ก็ทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งห่วงใยเหมือนอีกฝ่ายเป็นพี่สาวในไส้
ลิปสากัดริมฝีปาก ตัดสินใจเอ่ยขอ
“งั้น…พี่ขอกอดนิ่มหน่อยได้มั้ยอ่ะ”
“หา?” หญิงสาวที่แต่งงานมาหลายปีกะพริบตาปริบ สักพักก็หัวเราะออกมาเขินๆ “แสดงว่าเครียดหนักจริงๆ สินะคะถึงได้มาขอกอดนิ่มแบบนี้”
หฤทชนันเคยได้ยินเพื่อนรักของพี่รหัสเล่าอยู่เหมือนกันว่าเวลาลิปสาเครียดจัดๆ จะชอบกอดตุ๊กตาตัวโปรดแก้เครียด แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ที่ขาดคุณอ้อมกอดแล้วปรียาวตีอยู่ข้างๆ หวยก็จะไปออกที่สาวหมวยตลอด
นี่วันนี้พี่รหัสคงเครียดจัดแต่ไม่มีทั้งคุณอ้อมกอด ทั้งปรียาวตีสินะ สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ขอกอดหล่อน
“แล้วแบบนี้นี่นิ่มเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าคะ ว่าพี่รักไว้วางใจนิ่มมากจนกอดแก้เครียดได้” คนโดนขอกอดเอ่ยถาม ปรียาวตีเคยเล่าว่านอกจากตุ๊กตาตัวโปรด…สิ่งที่เยียวยาลิปสาได้ก็คืออ้อมกอดของคนที่ลิปสาไว้วางใจ
รีไรเตอร์สาวมองน้องรหัสอย่างเอ็นดู บอกด้วยอารมณ์เบิกบานขึ้นว่า
“แหม คบกันมาตั้งกี่ปี ถ้าไม่รักไม่ไว้ใจพี่ไม่ขอกอดจริงๆ นั่นแหละ”
“หืม? พูดขนาดนี้นิ่มต้องให้กอดแล้วล่ะค่ะ” ว่าแล้ว บ.ก. สาวก็ขยับตัวลุกไปฝั่งตรงข้าม โน้มตัวกอดพี่รหัสแน่นๆ หนึ่งที
“ดีมากกก น้องรักของพี่!”
ลิปสายิ้มกว้าง รู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อได้รับอ้อมกอดจากคนที่เธอรักและไว้ใจ
หลังจากนั้นสองสาวก็คุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนจะจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างก้มหน้าเล่นสมาร์ตโฟนของตัวเองเป็นการฆ่าเวลา ผิดกันแค่ว่าขณะเธอ ‘เผือก’ เรื่องดาราในเพจดังอย่างเมามัน ลิปสาเดาว่าสาวรุ่นน้องน่าจะแชตคุยกับสามีอยู่เสียมากกว่า ใบหน้าจึงแต้มรอยยิ้มกึ่งๆ เขินอายแบบนั้น
เห็นแล้วสาวโสดตลอดชีพก็อดเบะปากไม่ได้ แม้ใจจะคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ได้เจอคนรักที่ใช่และอยากอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต เธอยอมกอดคอแห้งตายอยู่บนคานกับปรียาวตีเสียดีกว่า แต่การอยู่ท่ามกลางนิยายรักตลอดทุกวันก็ทำให้หลายครั้งแอบไขว้เขวอยากหา ‘พระเอก’ ในชีวิตจริงของตัวเองอยู่เหมือนกัน
และแน่นอนว่าคนที่ปรากฏในมโนภาพของเธอมักจะเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นไปได้อย่างมนายุอยู่เสมอ
“เฮ้ย!”
หญิงสาวอุทานพร้อมสะดุ้งจนเกือบปล่อยสมาร์ตโฟนหลุดมือ เมื่อมันดันสั่นครืดๆ อยู่ในฝ่ามือพร้อมโชว์หมายเลขที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ พอตั้งสติได้ว่าไม่ควรเล่นใหญ่กะอีแค่โทรศัพท์เข้าแบบไม่ทันตั้งตัว ลิปสาก็รีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…สวัสดีค่ะ”
“ฟื้ด หนูรักแรกใช่มั้ยจ๊ะ”
“คะ?” ลิปสาส่งเสียงถามแทนการตอบรับ หัวคิ้วขมวดมุ่นขณะพยายามคิดว่าเจ้าของเสียงสูดน้ำมูกปลายสายเป็นใคร
“หนูรักแรก…นี่แม่เองนะ…แม่มัท แม่ของเหมือน”
“คะ?! เอ่อ…ค่ะคุณน้า คุณน้ามีอะไรรึเปล่าคะ”
พอปลายสายแนะนำตัวหญิงสาวก็สะดุ้งอีกรอบ หัวใจบีบรัดเร่งจังหวะเร็วกว่าปกติ ประเมินจากเสียงสั่นเครือของท่านแล้วก็สังหรณ์ไปในทางไม่ดีไว้ก่อนว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น…กับพระเอกคนโปรดของเธอ
“หนูรักแรก…แม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันทำงาน แต่…ฮึก…พอจะเป็นไปได้มั้ย…ถ้าหนูรักแรกจะมาหาแม่ที่โรง’บาล”
“ได้ค่ะได้ โรง’บาลไหน คุณน้าบอกมาได้เลยค่ะ”
หญิงสาวฟังชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่เคยเห็นผ่านๆ ในละครโทรทัศน์แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ มือคว้ากระเป๋าเงินขึ้นมาพร้อมโบกไม้โบกมือให้หฤทชนัน ซึ่งน้องรหัสที่ฟังบทสนทนาเพียงฝั่งของเธอก็ทำหน้าเคร่งเครียด รีบบอกทันทีทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า
“ไปเลยพี่รัก เรื่องข้าวเดี๋ยวนิ่มจัดการให้”
“อื้อ นิ่ม ขอบใจนะ”
รีไรเตอร์สาวโผกอดน้องรหัสหลวมๆ ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังตึกออฟฟิศเพื่อเก็บสัมภาระส่วนตัวพร้อมกับโทรลางานครึ่งวันกับหัวหน้าด้วยหัวใจร้อนรน ซึ่งหลังจากพาตัวเองไปอยู่บนรถแท็กซี่แล้ว ลิปสาก็เพิ่งเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครเป็นอะไร ใช่มนายุหรือเปล่า แล้วทำไมคุณมัทนาถึงเจาะจงโทรศัพท์มาขอร้องให้เธอไปหาที่โรงพยาบาล
เท่าที่จำได้…มนายุเลือดกรุ๊ปโอส่วนเธอเลือดกรุ๊ปบีนะ ยังไงเธอก็ให้เลือดเขาไม่ได้อยู่แล้ว
หญิงสาวที่ไม่ได้เป็นญาติข้างไหนเลยของครอบครัวอัศวกร ทั้งจะเรียกว่า ‘คนรู้จัก’ ก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปากถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อยว่าอะไรดลใจให้เธอไร้สติจนตัดสินใจออกมาหาคนคุ้นหน้า (ผ่านสื่อต่างๆ) แต่ไม่คุ้นเคยได้ง่ายดายขนาดนั้น
ถ้ามีเวลาบนรถแท็กซี่นานกว่านี้สักหน่อย ลิปสาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะเอ่ยปากบอกให้คนขับวนกลับไปส่งที่เดิมตามที่ใจแอบคิดอยู่หลายครั้งหรือเปล่า แต่ไม่รู้ทำไมพอเธอจะอ้าปาก…ภาพของมนายุวันที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ผุดขึ้นในความทรงจำอยู่เสมอ จนสุดท้ายเธอก็ยื่นธนบัตรสีแดงให้กับคนขับแท็กซี่ รอรับเงินทอนเป็นแบงก์เขียวๆ หนึ่งใบกับเศษเหรียญนิดหน่อยและก้าวลงมายืนทำหน้าอึนๆ อยู่หน้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
ซึ่งดูไฮคลาสตั้งแต่หน้าประตูกันเลยทีเดียว
“เอาไงดี หรือว่าจะกลับดีนะ?”
ทั้งที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่แล้วแท้ๆ แต่ความลังเลก็ทำให้ลิปสาไม่สามารถก้าวเท้าเข้าประตูเลื่อนอัตโนมัตินั่นได้ ร่างในชุดเอี๊ยมยีนขายาวสีดำ มีรอยขาดตรงหัวเข่าเป็นริ้วๆ กับเสื้อเชิ้ตคอกว้างสีขาวพับแขนเดินวนไปเวียนมา พึมพำกับตัวเองไม่หยุดอย่างคนตัดสินใจไม่ได้ และก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยจะก้าวเข้ามาสอบถามอย่างต้องการให้ความช่วยเหลือหรืออีกนัยคืออาจจะอยากตรวจสอบว่าเธอไม่ใช่คนร้าย สมาร์ตโฟนเครื่องเดิมในมือก็สั่นครืดอีกครั้ง ความตกใจทำให้หญิงสาวเผลอปัดนิ้วกดรับสาย
รีไรเตอร์สาวกลืนน้ำลายลงคอ ยกสมาร์ตโฟนขึ้นแนบข้างแก้ม กรอกเสียงประหม่าลงไป
“เอ่อ…ค่ะคุณน้า”
“หนูรักแรกเหรอลูก หนูถึงไหนแล้วจ๊ะ”
ลิปสาไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงจากปลายสายดูดีขึ้น ไม่สั่นเครือหรือเจือการสูดน้ำมูกเหมือนก่อนหน้า
“คือ…หนูอยู่หน้าโรง’บาลแล้วค่ะ” เธอสารภาพเสียงอ่อย ดวงตากลมเหลือบมองป้ายสลักหินอ่อนสวยงามอย่างทำอะไรไม่ถูก
“อ้าว เหรอจ๊ะ” ปลายสายเกิดเสียงบางอย่างเหมือนคนพูดกำลังขยับตัว และลิปสาก็ได้รู้ว่าเป็นจริงตามคาด เมื่อร่างสมส่วนของสตรีวัยห้าสิบซึ่งมือหนึ่งยังถือโทรศัพท์แนบข้างแก้มก้าวพรวดพราดออกมาจากประตูอัตโนมัติ ท่านมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหาใครบางคน และพอดวงตากลมโตซึ่งถูกถ่ายทอดไปยังลูกชายคนเดียวหันมาเห็นเธอ ริมฝีปากอิ่มก็แย้มรอยยิ้ม กดตัดสายแล้วตรงมาหาแทน
“หนูรักแรก! ขอบคุณมากที่หนูมา”
หญิงสาวตัวแข็งทื่อเมื่ออยู่ดีๆ มารดาของพระเอกคนโปรดก็สวมกอดเธออย่างรวดเร็ว พึมพำด้วยน้ำเสียงคล้ายโล่งใจ
“เอ่อ…ค่ะ คือว่า…”
ราวกับสัมผัสได้ถึงความเก้อกระดากทำตัวไม่ถูกของสาวรุ่นลูก คุณมัทนาจึงถอนอ้อมกอดจากคนที่ท่านเชื่อว่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ มองวงหน้าเนียนใสอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะกอบกุมมือเรียวไว้แล้วบีบเบาๆ
“แม่รู้…ว่ามันประหลาดมากที่อยู่ดีๆ ก็ขอให้หนูมาหา แต่ว่า…” ท่านถอนหายใจ ขอบตาร้อนผ่าวยามคิดถึงคนที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้นพิเศษด้านบน ก่อนจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น คุณมัทนาก็ได้สติว่าบริเวณหน้าโรงพยาบาลที่แดดยามบ่ายสาดส่องลงมาไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะคุยเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ จึงจับจูงมือหญิงสาวคราวลูกให้ก้าวตามกันมา “ไว้เราค่อยไปคุยกันต่อข้างบนดีกว่านะจ๊ะ”
“ข้างบน? หมายความว่า…” มีใครบางคนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลใช่ไหม
หัวใจลิปสาเต้นพล่านอีกครั้งยามคิดตามคำพูดของแม่พระเอกคนโปรด และสีหน้าเกือบๆ จะร้องไห้ของคุณมัทนาก็ตอบคำถามที่เธอไม่ได้เอ่ยออกไปได้อย่างชัดเจน
ว่ามีจริงๆ คนสำคัญที่ท่านรัก…พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้จริงๆ
เป็นอีกครั้ง…ที่ลิปสาเผลอคิดว่าความเป็นเทพีแห่งหายนะของเธออาจจะทำร้ายพระเอกคนโปรดเข้าแล้ว
ลิปสาคิดว่าตัวเองค่อนข้างเลวอยู่เหมือนกัน เมื่อเปิดประตูห้องพักฟื้นระดับวีไอพีเข้าไปแล้วพบว่าคนที่เธอเป็นห่วง…กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ในชุดไปรเวตตามปกติ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรอย่างที่กังวลไว้
ไม่ใช่เหมือน
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อเห็นพระเอกคนโปรดยังปลอดภัยดีไม่มีบุบสลายอะไร ยกเว้นใบหน้าหวานซึ่งหันมามองตามเสียงประตูนั่น รอบดวงตาและปลายจมูกของชายหนุ่มแดงจัด แววตายังหม่นลึกไม่ต่างจากรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเศร้ากว่าร้องไห้ออกมา
“มาได้ไงเนี่ย” พระเอกหนุ่มถามเสียงแหบ กระทั่งเห็นชัดว่าคนที่ก้าวตามหลังหญิงสาวมาคือมารดาของตัวเองก็มีสีหน้าเข้าใจปนกรุ่นโกรธ
เข้าใจ…ว่าผู้หญิงนอกครอบครัวที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันรู้ข่าวและเข้ามาได้เพราะแม่ของเขา
กรุ่นโกรธ…อะไรบางอย่างที่นาทีแรกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดออก
บางทีอาจจะโกรธตัวเอง…ที่หัวรั้นไม่ยอมแต่งงานกับเธอเพื่อสะเดาะเคราะห์อย่างที่ซินแสบอก จนทำให้บิดาต้องมารับเคราะห์แทนแบบนี้
ใช่ พอก้าวเข้ามาในห้องมากขึ้น ลิปสาจึงได้เห็นว่าคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้คือบิดาของพระเอกคนโปรดซึ่งเธอเคยเจอตัวจริงในวันรับปริญญาของเขาซึ่งเปิดให้แฟนคลับเข้าร่วมแสดงความยินดีได้และวันที่มนายุประสบอุบัติเหตุครั้งก่อน
“ทำไม…”
ริมฝีปากสั่นเปล่งคำพูดได้แค่นั้น ดวงตามองผ้าพันแผลรอบศีรษะและตามท่อนแขน รวมถึงเฝือกอันโตบนขาของคนหลับอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
ว่าทำไม…คุณมัทนาถึงโทรศัพท์ตามเธอมาอยู่ตรงนี้
“หนูรักแรก แม่มีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องหนู…” คุณมัทนาก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงสามี ลูบไล้เสี้ยวหน้าของคู่ชีวิตซึ่งแพทย์บอกชัดว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้น แต่ก่อนท่านจะได้พูดตามที่ต้องการลูกชายคนเดียวกลับส่งเสียงค้านขึ้นมา
“แม่ครับ!”
“เหมือน! แม่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่…แม่จะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ไม่ได้! แม่รู้ว่าแม่เห็นแก่ตัว แต่แม่ไม่สามารถเสียลูกหรือป๊าไปได้จริงๆ”
แม้หยาดน้ำตาจะร่วงหล่นอีกครั้ง หากแววตาและสีหน้าของท่านยืนกรานถึงความต้องการซึ่งครั้งนี้จะขอใช้สิทธิ์ความเป็นแม่บังคับให้มนายุต้องทำตาม
และใช่…ไม่ใช่แค่คุณมัทนาที่เสียลูกชายหรือสามีไปไม่ได้ มนายุเองก็ไม่สามารถเสียบิดามารดาหรือปล่อยให้คนรอบข้างต้องรับเคราะห์แทนเขาได้เช่นกัน
เหตุการณ์วันนี้มันทำให้พระเอกหนุ่มตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
หนุ่มหน้าหวานขยับลุกจากเก้าอี้ โน้มตัวไปกุมมือแม่ซึ่งยืนอยู่อีกฟากของเตียงเอาไว้ บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนตัดสินใจได้ว่า
“แม่ครับ เหมือน…เหมือนจะคุยกับเขาเอง”
เพียงเห็นสายตาของลูกชายคุณมัทนาก็รับรู้ได้ว่าลูกเลือกแล้วจึงเพียงพยักหน้ารับ พึมพำเสียงแผ่วจาง
“ขอโทษนะเหมือน…แม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้จริงๆ”
บอกตามตรง…ลิปสาไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมคุณมัทนาถึงโทรศัพท์ตามเธอมาที่นี่ ว่ามนายุกับแม่ของเขาคุยเรื่องอะไร และทำไม…พระเอกคนโปรดต้องจูงมือเธอออกมาคุยกันตรงระเบียงห้องพักฟื้นแห่งนี้
“ขอโทษนะที่ต้องชวนมาคุยตรงนี้ ผมเป็นห่วงป๊าน่ะ อีกอย่างถ้าคุยกันที่อื่นอาจจะมีคนมาเห็นเอาได้”
มนายุที่ยืนเกาะราวระเบียงมองออกไปยังท้องฟ้าซึ่งไม่รู้อยู่ดีๆ พระอาทิตย์ดวงโตเกิดอายอะไรจนต้องไปแอบซ่อนหลังเมฆสีครึ้มบอกเสียงเบา แต่ถึงจะเบาแค่ไหน…เธอซึ่งปล่อยสติล่องลอยก็อดสะดุ้งไม่ได้อยู่ดี
หญิงสาวเหลือบมองคนข้างๆ มุมปากขยับยิ้มบางส่งให้อย่างไม่รู้จะตอบอะไร
ผู้ชายตรงหน้าเธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เขาคือ ‘เหมือน มนายุ’ บุคคลสาธารณะซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป ถ้าหากเขาพาเธอไปคุยที่อื่นนอกจากเขตห้องพักฟื้นแห่งนี้ ไม่ว่ามันจะลับตาคนแค่ไหนก็ยังเสี่ยงจะถูกพบเห็นและกลายเป็นข่าวได้อยู่ดี แถมถ้ายิ่งลึกลับต่อสายตาคนอื่นมาก ถ้าหากซวยถูกเห็นขึ้นมาก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ
ที่นี่แหละดีแล้ว
ลิปสาหันกลับไปมองท้องฟ้าซึ่งไม่ค่อยสดใสเท่าใดนัก
บนระเบียงชั้นสิบเจ็ดของห้องพักฟื้นวีไอพีแบบนี้ นอกจากห้องข้างๆ ซึ่งมีระเบียงห่างกันไปราวสามเมตร…ที่นี่น่าจะปลอดภัยจากสายตาคนได้มากที่สุดแล้ว
“แล้ว…พ่อเหมือน…” รีไรเตอร์สาวที่จับพลัดจับผลูมาที่นี่แบบงงๆ อึกอักถามหลังจากต่างคนต่างเงียบไปนาน ซึ่งลูกชายของคนเจ็บในห้องก็ส่งยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตามาให้อีกครั้ง
“ป๊าผม…โดนรถชนน่ะ”
“โอ้มายก็อด…” ลิปสาเผลออุทานตามความเคยชิน เห็นชัดว่านอกจากขอบตาของพระเอกคนโปรดจะแดงเรื่อ ในกรอบตายังเริ่มมีน้ำขังอีกครั้ง
เจ้าของวงหน้าหวานกว่าผู้หญิงหลายคนกำหมัดแน่น หันกลับมามองคนข้างๆ แล้วอดตั้งคำถามไม่ได้
“เธอ…เชื่อเรื่องดวงรึเปล่า”
โปรดติดตามตอนต่อไป