ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1
บทนำ
พวกนางถูกไล่ต้อนไปที่ลาดเขา
ประตูหินติดกลไกที่โปร่งแสงบานนั้นปิดกั้นทางออกเพียงทางเดียวเอาไว้ เส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางลาดเขาทั้งแคบทั้งยาว และรายล้อมไปด้วยสัตว์เลื้อยคลาน ซ้ำยังมีสรรพเสียงแปลกประหลาดดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ที่กลางลาดเขาปราศจากเทียนไขให้แสงแม้เพียงสักเล่ม ได้แต่อาศัยแสงสลัวจากหินชิงหลิน ที่ฝังอยู่ในกำแพงหิน สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่แตกตื่นและระแวดระวังภัยของพวกนางอย่างเลือนราง
ในดวงตามืดมัวของหญิงสาวที่เดินเข้ามานั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะพร่าเลือนไปหมด แต่กลับกระจ่างชัดหาใดเปรียบ
พวกนางมีกันทั้งหมดสิบห้าคน ต่างเป็นเด็กสาวที่มีอายุราวสิบสองถึงสิบหกปี ไม่ว่าแรกเริ่มพวกนางจะเข้ามาที่สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงด้วยวิธีใดก็ตามแต่ จะสมัครใจหรือว่าถูกบีบบังคับให้เข้ามา ทว่าจนถึงตอนนี้ในบรรดาพวกนางล้วนไม่เหลือใครเลยสักคนที่ร่างกายยังคงบริสุทธิ์
การไม่บริสุทธิ์เช่นนี้มิได้หมายความว่าพรหมจรรย์ของหญิงสาวถูกทำลายแต่ประการใด แต่พวกนางถูกใช้ร่างกายเป็นภาชนะสำหรับเพาะเลี้ยงหนอนกู่** เลือดเนื้อของพวกนางจึงแปดเปื้อนไปด้วยพิษ
ลาดเขาแห่งนี้เป็นไหเพาะหนอนกู่ตามธรรมชาติของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง หนอนกู่และสัตว์มีพิษจำนวนมากมายมหาศาลเข้ามาครองพื้นที่และขยายพันธุ์กันเป็นเวลานาน จนกลายเป็นด่านสุดท้ายที่สำนักเหยี่ยนเหมินจะใช้ปรุงมนุษย์ให้เป็น ‘ราชินีหนอนกู่ตับพิษ’
ขอเพียงสามารถทนอยู่ในไหเพาะหนอนกู่แห่งนี้จนครบสามวัน และออกไปในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าการปรุงนั้นประสบความสำเร็จ แต่ทว่านางรู้ตัวดีว่านางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
มือน้อยๆ นุ่มนิ่มข้างหนึ่งกระชับมือของนางไว้แน่น นางลากเด็กหญิงปัญญาอ่อนที่เรียกขานนางเป็นพี่สาวมานานถึงหกปีออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางเอาตัวเองยังไม่รอด แต่ก็ไม่อาจทิ้งอีกฝ่ายไว้ได้
อย่างไรเสียเด็กหญิงปัญญาอ่อนผู้นี้ก็อยู่เคียงข้างนางเป็นเวลาถึงหกปีเต็มๆ ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางรับรู้ถึงความอบอุ่นในช่วงเวลาตลอดสิบปีที่ถูกขังไว้ที่สำนักเหยี่ยนเหมิน เด็กสาวเป็นที่ยึดเหนี่ยวท่ามกลางความมืดและเล่ห์เหลี่ยมอุบาย อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ดอกน้อยที่ผลิบานให้กับนางด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ไม่อาจทิ้ง
ต่อความงดงามเล็กๆ ในหัวใจที่ยังคงสู้ต่อเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าไม่อาจทิ้งได้เลย
เส้นทางเล็กแคบในลาดเขานั้นลึกลับซับซ้อน มีกลิ่นเหม็นคาวลอยมาเตะจมูก ทำให้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกระแสลมที่พัดผ่านมา
มีลมย่อมหมายความว่าจะต้องมีทางออกอีกทาง พวกนางจึงมุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่โค้งขึ้นเพื่อหาจุดสูงสุด วิ่งจนหอบ ลมหายใจขาดห้วง เหงื่อออกโซมกาย ทรวงอกปวดแปลบแทบจะระเบิด แต่จะหยุดวิ่งก็ไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่พวกนางหยุด บรรดาสัตว์ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดก็จะคืบคลานเข้ามา
เมื่อพวกมันไล่ตามทันและเข้ามาโอบล้อม ก็จะหมดหนทางหนีและทำได้เพียงแค่เผชิญหน้าเท่านั้น
ในหูได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของเหล่าเด็กสาวที่ถูกบีบให้หันมาสู้ก่อนจะตาย นางขบกรามแน่น กะพริบไล่น้ำตาที่เอ่อขึ้นมาไม่หยุด พยายามเพ่งมองทางตรงหน้าให้ชัด
และแล้วในที่สุด นางก็มองเห็นแสงริบหรี่ส่องลอดลงมาจากเบื้องบน
หนทางรอดนั้นอยู่ไม่ไกล เพียงชั่วอึดใจเดียวก็จะได้ออกไปให้พ้นจากที่นี่ แต่เด็กหญิงปัญญาอ่อนที่อยู่ข้างกายนางกลับสะดุดหกล้ม เด็กน้อยร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด นางจึงปลอบโยนเด็กสาวเสียงเบา และฝืนแบกเด็กสาวร่างผอมขึ้นหลัง เมื่อลุกขึ้นได้ก็พบว่ามีสัตว์มีพิษฝูงหนึ่งปิดกั้นทางตรงหน้าเอาไว้
ไม่…ไม่ใช่ฝูงเดียว
พวกมันล้อมเข้ามาด้วยความรวดเร็วเหลือประมาณ
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของคิมหันตฤดู ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่เหล่าสัตว์พิษนี้จะออกมาอาละวาด พวกมันถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนไร้รูปร่างขนาดใหญ่ สร้างความสิ้นหวังและความมืดมนหดหู่มากเพียงพอที่จะบีบคั้นให้ผู้คนรู้สึกทรวงอกคับข้อง จนจุดตันเถียน ติดขัดขึ้นมา
ดูเหมือนหลังจากพวกมันจัดการกับผู้บุกรุกทั้งหมดแล้ว กลับพบว่ามีมัจฉาลอดร่างแหไปได้สองตัว อีกทั้งยังปล่อยให้ ‘มัจฉาทั้งสอง’ หลบรอดมาได้ไกลถึงเพียงนี้ สำหรับพวกมันที่ครอบครองลาดเขาจนกลายเป็นเจ้าถิ่นแล้ว ย่อมไม่ต่างอะไรจากการหยามเกียรติครั้งใหญ่ ดังนั้นที่เข้ามาโอบล้อมจึงไม่ได้มีเพียง ‘หนึ่งฝูง’ แต่เป็นสัตว์พิษทั่วทุกซอกทุกมุมของลาดเขาต่างพากันยกโขยงเข้ามา
นางกลัว แต่ว่ากลัวไปก็เท่านั้น นางไม่อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตากลับหลั่งออกมาเอง เพราะเหตุใดเพียงต้องการมีชีวิตอยู่ถึงได้ช่าง…ช่างยากเย็นเช่นนี้…
เอาเถิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เช่นนั้นข้าก็ขอเดิมพันด้วยลมหายใจที่ยังเหลืออยู่นี้ ลองกัดฟันเสี่ยงดู
ฝูงสัตว์มีพิษคืบคลานมาถึงและปิดเส้นทางทุกทิศอย่างมิดชิดจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ นางจำได้เพียงว่าตนขบฟันแน่น แน่นเสียจนปวดร้าวไปทั้งกราม นางใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่กำบัง กดทับบนร่างน้อยที่ผ่ายผอมเกินควรเอาไว้ แล้วหลังจากนั้น…หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็หายไป
เหลือเพียง…แสงสว่าง
สว่างเสียจนในศีรษะนางขาวโพลนราวกับหิมะ ราวกับว่าแสงจากท้องฟ้าที่นางโหยหาได้ระเบิดโพลงขึ้นมาในศีรษะนาง แสงนั้นสว่างไสวจนถึงที่สุด และแผดแสงสีเงินยวงปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
แสงนี้…มาจากที่ใดกันแน่
เมื่อมองดูพื้นที่ไร้ขอบเขตรอบตัวนาง ที่ซึ่งปราศจากแสงลอดเข้ามา สิ่งที่สะท้อนเข้าคลองจักษุนางมีเพียงแสงโปร่งใสของหิมะ ทุกอย่างช่างพิสดารเหลือคณานับ กระทั่งนางคิดว่าตนเองได้จบชีวิตลงที่ลาดเขานั้นแล้ว
นางย่อมตายไปแล้วแน่นอน ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางได้ยินน้ำเสียงชราอันทุ้มต่ำและอ่อนโยนที่กำลังเรียกนาง
‘เสวี่ยหลานรัก…’
หัวใจปวดแปลบ จิตใจนางสั่นไหว
เป็นท่านยายที่กำลังเรียกนาง มีเพียงท่านยายเท่านั้นที่เรียกนางเช่นนี้ ความรู้สึกอันคุ้นเคยที่นางคะนึงหาสุดเปรียบปานนี้ กอปรเป็นสายอสนีบาตฟาดขึ้นในใจ ทำให้นางสั่นสะท้านจนชาไปทั่วสรรพางค์กาย
การตกตายจะทำให้ข้าได้อยู่เคียงข้างท่านยายหรือ หากเป็นเช่นนี้จริงย่อมไม่มีอะไรไม่ดี…