ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1

‘เด็กโง่ ตกตายอะไรกัน เจ้ายังมีชีวิตดีอยู่ ไม่รู้สึกตัวเลยหรือ’

เสียงแหบแห้งนั้นเป็นเฉกเช่นในความทรงจำของนาง อบอุ่นราวดวงอาทิตย์ แฝงความรักใคร่เอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง นางยิ่งได้ฟัง หัวใจก็ยิ่งขมวดเป็นปม นางอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน กระทั่งอดไม่อยู่ที่จะตะโกนออกมา…

‘ท่านยาย หลานคิดถึงท่าน คิดถึงมากๆ เลย! หลานคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย พวกท่าน…พวกท่านล้วนไม่อยู่แล้ว ข้าไม่อยาก…ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว ข้าเหนื่อยมาก…ท่านยาย หลานเหนื่อยมาก…เหนื่อยมาก…’ ท้ายที่สุดนางตะโกนจนหมดกำลัง

‘เหนื่อยแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะหยุด ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าลืมว่าต้องหายใจอย่างไร ยายเคยสอนเจ้ามาแล้ว เสวี่ยหลานรัก เจ้ายังจำวิธีการหายใจเข้าออกได้หรือไม่’

‘แต่ว่ามีชีวิตอยู่…สกปรกเหลือเกิน…’ นางร้องไห้ ‘ท่านยายข้าจะทำเช่นไรดี ข้าถูกทำให้สกปรกเหลือเกิน…’

‘ไม่เป็นไร เด็กดี ไม่เป็นอะไรหรอก ขอเพียงเจ้าไม่ลืมที่จะหายใจ ในชั่วลมหายใจเข้าออกทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปเอง ฟังสิ ใครกันกำลังเรียกหาเจ้า ร้องไห้เสียใจถึงเพียงนั้น เจ้าตัดใจได้หรือ…’

‘ท่านยาย…’

เสียงแหบแห้งเปี่ยมความรักอันอบอุ่นนั้นเงียบหายไปไม่ตอบคำนางอีก นางทั้งแตกตื่นลนลานและรู้สึกเคว้ง พลันรับรู้ถึงคนที่อยู่ข้างกาย อีกฝ่ายเฝ้าเขย่าแขนนางอย่างไม่หยุดหย่อน

“พี่สาว…ฮือๆๆ พี่สาวรีบลุกขึ้น ฮือๆ…อย่าตายนะ…พี่สาวลุกขึ้น…”

เสียงแหลมแฝงความมุ่งร้ายของสตรีนางหนึ่งดังแว่วเสียดหู “ยังจะเรียกพี่สาวอีก เรียกเสียสนิทสนมจริงเชียว แท้จริงแล้วข้าก็ไม่อยากเห็นนางตายหรอกนะ ที่ข้าเป็นคนส่งนางเข้าไปในลาดเขา เพราะข้าเห็นว่าผู้ที่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาเช่นนางน่าจะกระทำสิ่งนั้นได้” สตรีผู้นี้ทำเสียงคิกคัก

“กลายเป็นว่าข้าประเมินร่างกายที่มีสายเลือดจากเผ่าไป๋ของนางสูงไป อีกเพียงนิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่พอมาถึงนางกลับถูกกักเอาไว้ในลาดเขาแห่งนี้”

“ฮือๆ…พี่สาวลุกขึ้น ลุกขึ้น…ห้ามตายนะ! ลุกขึ้น!” เด็กหญิงปัญญาอ่อนร้องไห้พลางพยายามพาดตัวอีกฝ่ายขึ้นบนหลังอันบอบบาง แต่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่สำเร็จ เด็กสาวยังคงดึงดันที่จะลองอีกครั้ง พี่สาวที่เด็กสาวทั้งลากทั้งดึงยังคงไม่ขยับตัว

“เจ้านี่มันโง่เง่าสิ้นดี ฮึๆ นางหมดลมไปนานเท่าไรแล้ว ตั้งแต่ออกจากลาดเขามาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ย่อมสิ้นใจไปนานแล้ว!” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นศพนางยังสมบูรณ์ดี ไม่โดนสัตว์พิษและหนอนกู่กลืนกินล่ะก็ ข้าคงคร้านที่จะพาออกมา เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุเป็นแน่ แต่จะว่าไป…ฮ่าๆ ในเมื่อเห็นอยู่ว่านางตายไปแล้ว เช่นนั้นสาเหตุต้องมาจากตัวเจ้าเป็นแน่แท้” เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามา…

“นางปัญญาอ่อน เจ้าอยู่ในลาดเขาของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงเป็นเวลาสามวันสามคืน นอกจากหกล้มหัวแตก ทำคางกระแทก ฝ่ามือและเข่ามีรอยถลอกปอกเปิกแล้ว แต่ก็นับว่าร่างกายยังสมบูรณ์พร้อมดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่แสร้งดัดจนอ่อนหวานชวนให้ผู้คนรู้สึกด้านชาที่หลังคอ “นั่นหมายความว่าการปรุงยาสำเร็จแล้ว มีเพียงเจ้าที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็น ‘มนุษย์หนอนกู่’ ที่บริสุทธิ์และมีพิษร้ายแรงที่สุดของสำนักเหยี่ยนเหมิน เป็นทั้ง ‘มนุษย์หนอนกู่’ และ ‘มนุษย์โอสถ’ และโอสถอย่างเจ้าก็จะตกเป็นของเจ้าสำนักแต่เพียงผู้เดียว ฮึๆ เจ้าสำนักของเราต้องการเจ้าในการใช้พิษต้านพิษ นางปัญญาอ่อนเจ้าดีใจหรือไม่ เจ้ากำลังจะได้รับใช้เจ้าสำนักแล้ว มีเพียงเจ้าที่ได้รับเกียรติอันประเสริฐนี้”

ทันใดนั้นก็มีเสียงบางเบาของบุรุษพูดขัดขึ้นมา

“มัวแต่กล่าววาจาเหลวไหลอะไร ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่านางคนนั้นหมดลมไปนานแล้ว ก็นำกลับไปทิ้งในลาดเขา หรือไม่ก็โยนลงผาอิงจุ่ยเสีย อย่าได้วางไว้ให้เกะกะลูกตา” เงียบไปครู่หนึ่ง “นำตัวนางปัญญาอ่อนคนนั้นมาให้ข้า”

“อาฉี่จะทำตามเดี๋ยวนี้ เจ้าสำนักใช้พิษต้านพิษครั้งนี้ ย่อมต้องอ่อนวัยลงถึงยี่สิบปี คงความหนุ่มฉกรรจ์เอาไว้ได้ เฮ้อ อาฉี่เพียงแค้นที่ตนเองไม่มีคุณสมบัติ ไม่สามารถเป็นโอสถให้เจ้าสำนัก ทำได้เพียงมองดูผู้อื่นได้รับการเชยชม เจ้าสำนักอย่าเพิ่งติดใจผู้ใดล่ะ ไม่เช่นนั้น…ไม่เช่นนั้น อาฉี่จะหึงหวงแล้ว” น้ำเสียงที่สตรีนางนั้นตอบคำกับเจ้าสำนักเหยี่ยนเหมิน ฟังดูไม่ใช่วาจาที่บริวารจะกล่าวกับผู้เป็นนายสักเท่าใดนัก แต่กลับแฝงความสนิทชิดเชื้อ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งสอง เจ้าสำนักทำเสียงขึ้นจมูกราวกับหมดความอดทน สตรีนางนั้นจึงยื่นมือไปจับกุมคน

เสียงร้องของเด็กหญิงปัญญาอ่อนแหลมสูงขึ้นในทันใด ฟังดูเศร้าโศกโหยหวน “ไม่ๆ อ๊า…ไม่! พี่สาวลุกขึ้น ลุกขึ้น! พี่ลุกขึ้น! ลุกขึ้น! อ๊า…”

“ช่างหน้าไม่อายนัก!”

เสียงฝ่ามือฟาดกราดดังกังวานติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ตบตีจนกระทั่งเสียงกรีดร้องขัดขืนแหลมเล็กแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้ครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์

‘ฟังสิ ใครกันเรียกหาเจ้า ร้องไห้เสียใจถึงเพียงนั้น…’

หูทั้งสองนั้นได้ยิน แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งราวพันชั่ง ทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น หายใจสิ หายใจเข้าหายใจออก ขอเพียงหายใจ แล้วทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป

นางถูกทำให้เปื้อนมลทิน พวกนางต่างก็ถูกทำให้เปื้อนมลทิน ทั้งที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอันงดงามในวัยเยาว์ กลับถูกกักขังไว้ในลาดเขาเช่นนี้

ตลอดทางที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เสียงกรีดร้องโศกเศร้ายังคงไม่หยุด เสียงร้องไห้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับมีน้ำแข็งและถ่านไฟคุอยู่ในลำไส้ นางรู้สึกทั้งร้อนและหนาวในช่องท้อง เจ็บปวดทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับจะทำให้ร่างนางแหลกลาญทั้งเป็น

แหลกลาญทั้งเป็น…ย่อมหมายความว่านางยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น…นางจึงไม่อาจลืมที่จะหายใจ

“เจ้ายังไม่ตาย!” สตรีนามว่าอาฉี่ตกใจร้องเสียงหลง

“พี่สาว…ลุกขึ้น…พี่สาว…”

นางหันมองไปตามเสียงเรียก เห็นเด็กสาวร่างน้อยที่อายุยังไม่ครบสิบสามปีดีถูกชายผู้หนึ่งกดทับไว้ใต้ร่างอย่างหยาบช้า เสื้อผ้าไม่ปกปิดร่างกาย ตามใบหน้ามีแต่รอยแผล เด็กสาวร่างผ่ายผอมนั้นดูราวกับว่าแม้ต่อให้อีกฝ่ายจะหักแขนขาทั้งสี่ของตนออกก็จะยังคงต่อสู้ขัดขืนต่อไป

ไม่นะ…ไม่!

หัวใจของนางดั่งถูกของมีคมเชือดเฉือน เลือดลมพลุ่งพล่าน ความเจ็บปวดและโทสะระเบิดออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ ปัง! เปรี้ยง…

“เจ้าสำนัก! เจ้า เจ้าทำอะไรลงไป…อ๊า” คำถามอย่างแตกตื่นของสตรีนางนั้นพลันขาดหาย และล้มลงในทันใด ไม่เพียงสตรีผู้นั้นที่ล้มลงกับพื้นจนลุกไม่ขึ้น เจ้าสำนักที่กำลังประพฤติมิชอบก็เข่าอ่อนล้มลงบนตั่ง เครื่องหน้าบิดเบี้ยว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่างกายที่เปลือยครึ่งท่อนบิดเร่าไปมา

นางไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด ทว่านางพอจะตระหนักได้คร่าวๆ ว่าเป็นที่ร่างกายของนางเองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นมา แต่เอาเถิด เปลี่ยนก็เปลี่ยน อย่างไรเสียนางก็ยังมีชีวิตอยู่!

นางยังช่วยคนที่นางใส่ใจไว้ได้ จะแปดเปื้อนมากขึ้นก็ไม่เป็นไร

นางลุกขึ้นเดินโซเซ พลางแบกเด็กสาวตัวน้อยที่พลอยหมดสติไปขึ้นมาบนหลัง เพื่อที่จะหนีออกไปจากที่แห่งนี้

ตอนอายุหกขวบนางถูกจับมาที่นี่ โดนกักขังอยู่ในสำนักเหยี่ยนเหมินเป็นเวลาสิบปี มีหลายครั้งหลายคราที่นางอยากจะหนีไป เวลาสิบกว่าปีมานี้นับว่าไม่สูญเปล่า นางได้สำรวจภูเขาซวงอิงแหล่งซ่องสุมของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งนี้ครบทุกซอกทุกมุมมาตั้งแต่แรกแล้ว

ถ้ากระโดดลงจากยอดผา จะยากเย็นเพียงใดก็ยังพอมีหนทางรอด เนื่องจากประตูบานใหญ่น้อยของสำนักเหยี่ยนเหมินมีอยู่ทั่วทั้งภูเขาซวงอิง และมีการเฝ้าทางเข้าออกอย่างเข้มงวด ดังนั้นการเดินลงไปก็เหมือนการพาตนเองไปติดร่างแห จึงทำได้เพียงเดินขึ้นไปเท่านั้น

เดินขึ้นไป

เมื่อปีนขึ้นไปถึงยอดผาอิงจุ่ยซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุด แล้วกระโดดลงมาจากพื้นที่สูงในช่วงฤดูร้อนที่มีน้ำหลากเกิดขึ้นเป็นประจำ กระแสน้ำของลำธารแคบๆ ที่อยู่ใต้หน้าผาจะเชี่ยวกรากเป็นพิเศษ…

ดังนั้นเมื่อตกลงไปอยู่ท่ามกลางกระแสธารที่ไหลเชี่ยวและขุ่นข้น ขอเพียงไม่ลืมที่จะคงสติให้แจ่มชัดเอาไว้ แล้วปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาพวกนางไปให้ไกลแสนไกล อาจจะ…อาจจะมีโอกาสรอดชีวิตก็เป็นได้!

ในช่วงเวลานี้นางร้องขอไม่มาก ขอเพียงแค่ตลอดเส้นทางที่จะปีนขึ้นไปบนหน้าผานี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกนางก็พอ

“พี่สาวลุกขึ้น…ลุกขึ้นมา…ห้ามตาย…”

ดรุณีน้อยที่นอนอยู่บนหลังนางยังไม่ทันรู้สึกตัวดีก็กล่าวละเมอเลอะเลือน ทำให้นางน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งอยากจะโผนทะยานออกมาจากภายใต้พื้นผิว

นางไม่ลืมที่จะหายใจเข้าออกสุดกำลัง เพื่อข่มความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นเอาไว้

นางเอ่ยรับคำเสียงเบา “ได้ ไม่ตาย เราทั้งสองจะต้องมีชีวิตรอด ไม่ตายหรอก…พี่สาวฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะหนีไปด้วยกัน รอดไปด้วยกัน”

ครานี้สวรรค์เมตตาพวกนางในที่สุด ตลอดทางที่ขึ้นไปบนผาอิงจุ่ยไร้ซึ่งอุปสรรคขัดขวางใด ไม่พบพานผู้คนแม้เพียงครึ่งเงา ทว่าเบื้องล่างภูเขาซวงอิง…ดูเหมือนจะโกลาหลวุ่นวายไปหมด

นางรู้สึกเหมือนมีผู้คนมากมายวิ่งลงไปยังเชิงเขา เสียงอาวุธและเสียงตะโกนกราดเกรี้ยวแว่วมาให้ได้ยิน นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ได้เปลืองแรงเพื่อขบคิดให้กระจ่าง นางรู้เพียงแต่ว่าที่เบื้องล่างภูเขาซวงอิงยิ่งวุ่นวายมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น

ปล่อยให้คนเหล่านั้นวุ่นวายต่อไป

ยิ่งวุ่นวาย ก็จะยิ่งไม่มีผู้ใดมาสนใจเส้นทางพวกนางทั้งสอง และทำให้พวกนางหลบหนีได้สำเร็จ

“จากนั้น พี่สาวก็จะดีกับเจ้า”

“พี่สาว…พี่สาวลุกขึ้น…ฮือๆ …ลุกขึ้นมา…”

ดูเหมือนเด็กสาวร่างผอมบางบนหลังยังคงฝันเลอะเลือน นางได้ยินแล้วได้แต่โค้งปากเป็นรอยยิ้ม ปาดน้ำตาทิ้ง จากนั้นจึงขึ้นไปยืนบนผาอิงจุ่ยเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่โปร่งโล่ง

“ไม่ร้องนะ พอหนีออกไปได้แล้ว พี่สาวจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมให้เจ้ากิน เป็นขนมที่ท่านแม่ของพี่สอนมา และท่านพ่อกับท่านยายชอบกิน พี่ยังจำได้ จำได้ชัดเจน…พี่สาวทำให้เจ้ากินดีหรือไม่”

“ฮือๆๆ…” เดิมเสียงร้องไห้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นอ่อนแรงลงจนกลายเป็นเสียงเดียว “ดี..” รอยยิ้มที่มุมปากนางหยั่งลึก ดรุณีน้อยที่นางแบกอยู่ไม่กล่าววาจาใดอีก จากนั้นนางก็กระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com