ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1
ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เขาทำงานของทางการในหน่วยประตูหกบาน จนถึงตอนนี้ได้รับป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลแต่งตั้งให้เป็นมือปราบเทวดา ย่อมมีธุระติดพันมากมายเป็นธรรมดา แต่ขอเพียงเขายังอยู่ในเมืองหลวง ก็จะเสาะหาเวลาว่างมาสอนวิชาการต่อสู้ในตรอกซงเซียงให้ได้
ที่กระทำเช่นนี้ไม่ได้มีแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น เขายังมีศิษย์น้องหญิงอีกคน ที่พอมีเวลาว่างก็จะมาสอนวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเด็กๆ
ในบรรดาเด็กที่มาร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ก็มีปั้งโถว หลานชายสกุลเฉียวรวมอยู่ด้วย วันนั้นเมื่อเด็กๆ ร่ำเรียนกันเสร็จ ตาเฒ่าเฉียวก็ย่างแป้งย่างหลายชิ้นให้เด็กๆ ที่หิวจนท้องร้องโครกครากได้เติมเต็มท้องน้อยๆ ตอนนั้นนางกำลังเตรียมตัวเปิดกิจการขายโจ๊ก จึงทำโจ๊กขาวห้าสหายออกมา แล้วเชิญชวนผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงให้ได้ลิ้มลอง
เดิมทีนางคิดว่าบุคคลที่สูงส่งเช่นเขาคงไม่เห็นโจ๊กขาวที่ดูผิวเผินแล้วจืดชืดธรรมดายิ่งเช่นนี้อยู่ในสายตา นึกไม่ถึงว่าเขากลับ…
‘ได้ยินว่าเป็นอาหารให้ลองชิม ข้าขอแม่นางสักชามได้หรือไม่’
เขาสอนวิชาเสร็จแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ขอโจ๊กหนึ่งชามจากนางด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมและวาจาที่สุภาพ
เมื่อนางตักโจ๊กใส่ชามจะส่งให้ เขาก็รู้สึกได้ถึงนิ้วมืออันสั่นเทาทั้งสิบและลมหายใจที่ขาดห้วงของนาง นางไม่รู้ว่าตนเองทำได้อย่างไรที่ส่งชามโจ๊กให้เขาโดยไม่ทำโจ๊กที่ร้อนจนควันฉุยหกรดใส่เขา
เขากินทีละคำอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็กินโจ๊กร้อนๆ จนหมดเกลี้ยง เมื่อส่งชามเปล่าคืนให้นาง เขาก็ไม่ได้เอ่ยติชมโจ๊กของนางแม้สักครึ่งคำ เพียงกล่าวแค่คำขอบคุณ
นางบรรยายไม่ถูกว่าในใจเป็นรสชาติเช่นไร มีทั้งความผิดหวัง และก็มีความตื่นเต้น รู้สึกว่าโจ๊กชามนี้ยังไม่ถูกปากเขา และที่จริงก็ยังทำได้ไม่ดีนัก
แต่ที่นางไม่รู้เลยก็คือตั้งแต่ที่เขาได้ลิ้มลองอาหารมื้อนั้น เขาก็เริ่มมาหานาง!
คำนวณดูแล้วก็เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ที่ช่วงเช้ามืดแทบทุกวัน เมื่อห้องครัวมีควันฟุ้งลอยออกมา เขาก็จะมาปรากฏตัวที่เรือนหมู่โดยไร้สุ้มเสียง
ในเวลานี้เมื่อเห็นเขามาปรากฏตัวตามคาด เจียงหุยเสวี่ยก็รู้สึกอบอุ่นในใจจนไม่อาจหุบยิ้ม “ยังต้องรออีกสักครู่ใหญ่ ข้างในนี้อากาศอุ่นกว่ามาก ท่านเมิ่งจะเข้ามานั่งก่อนหรือไม่”
เมิ่งอวิ๋นเจิงพยักหน้าเล็กน้อยแทนการตอบรับ เดินเข้ามาข้างในและลากม้านั่งเหลี่ยมจากประตูหลังมานั่งด้วยความเคยชิน
ห้องครัวขนาดเล็กที่เก็บของได้มากมายแห่งนี้ สำหรับเจียงหุยเสวี่ยแล้วนับว่ากำลังดี อุปกรณ์เครื่องใช้ทำครัวและวัตถุดิบทำอาหารต่างวางอยู่ในตำแหน่งที่นางเอื้อมถึง แต่เมื่อเพิ่มบุรุษร่างใหญ่เข้ามาอีกหนึ่งคน แม้ว่าเขาจะนั่งนิ่งอยู่กับที่แล้วก็ตาม เจียงหุยเสวี่ยก็ยังรู้สึกว่าพื้นที่รอบข้างอึดอัดไปชั่วขณะ
นางลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ เบนสมาธิกลับไปที่เตา เมื่อคุมไฟอีกครั้งได้แล้วก็คนหม้ออย่างพิถีพิถันเป็นครั้งสุดท้าย การทำเช่นนี้จะช่วยให้วัตถุดิบที่มีสรรพคุณทางยาที่อยู่ในโจ๊กอ่อนนิ่มลง ทำให้กระเพาะและลำไส้สามารถดูดซึมได้ง่าย
“ให้ท่านรอนานแล้ว” นางตักโจ๊กชามแรกที่เพิ่งทำเสร็จส่งถึงโต๊ะเล็กเบื้องหน้าบุรุษ
ชามกระเบื้องขอบกว้างที่ใช้ตักโจ๊กใส่นั้น ความจริงมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับชามที่ทุกวันนางตักให้ลูกค้ารายอื่น มีขนาดใหญ่กว่าเป็นสองเท่าตัว และปริมาณโจ๊กที่ตักให้ย่อมมากกว่าเป็นสองเท่า
กลายเป็นสิ่งที่ทั้งสองต่าง…เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะเอ่ยถึงและเคยชินจนไม่คิดจะหาความหมายใดๆ ชามที่นางให้เขาใช้ใหญ่กว่าชามของผู้อื่น โจ๊กที่ตักให้เขาก็มากกว่าของผู้อื่น!
แต่ช้าก่อน! ดูเหมือนโจ๊กขาวห้าสหายที่นางตักให้ในวันนี้จะยิ่งมากกว่าเดิม มากจนแทบจะล้นปรี่!
“เอ่อ…ชามหนักไป ยกซดลำบาก ท่านใช้ช้อนตักกินเถิด” นางรีบยื่นช้อนไม้ขนาดเล็กให้ ใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อเนื่องจากความร้อนในห้องครัวอยู่แล้ว มาตอนนี้สีเลือดฝาดบนสองข้างแก้มยิ่งเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจ” เมิ่งอวิ๋นเจิงพยักหน้าตอบเสียงขรึม
“อืม” เจียงหุยเสวี่ยก็พยักหน้าเช่นกัน เมื่อเห็นเขาใช้ช้อนไม้กินอาหารแล้ว นางจึงหันไปเก็บกวาดครัว ตระเตรียมข้าวของทั้งหมดที่อีกสักครู่จะต้องใช้เมื่อตั้งเพิง
บางครั้ง…เพียงบางครั้งเท่านั้น ที่นางกำลังยุ่งเป็นพัลวัน แต่หางตากลับชำเลืองมองไปทางเขา ซึ่งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ นางรับรู้ถึงตัวตนของเขามากเกินไป อีกทั้งท่วงท่าของเขาตอนกำลังกินก็ช่าง…ช่างน่าชมน่ามองเสียเหลือเกิน
เขานั่งตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง เมื่อช้อนโจ๊กมาถึงปาก เขาจะอ้าปากเล็กน้อยเพื่อเป่าให้เย็น แล้วค่อยส่งอาหารเข้าปาก ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ตักโจ๊กขึ้นมาจนกินเข้าไป คิ้วกับดวงตาที่หลุบลงของเขาช่างดึงดูดสายตา เขาทำราวกับว่าโจ๊กที่นางทำให้เป็นอาหารเลิศล้ำที่ต้องลิ้มลองอย่างละเมียดละไม
เขากินโจ๊กไปเงียบๆ นางก็ทำงานวุ่นวายและแสร้งแสดงท่าทีสงบนิ่ง เวลาปกติมักเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็จะวางเงินไม่กี่เหรียญไว้ข้างชามที่ว่างเปล่า แล้วลุกจากไปก่อนที่บุคคลอื่นในเรือนหมู่จะรับรู้
โจ๊กชามหนึ่งราคาห้าตำลึง แต่เขามักจะให้เงินมากกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางอยากจะคืนเงิน เขาก็ไม่ยอมรับแล้วเดินจากไป อาจเพราะเหตุนี้ นางจึงตักโจ๊กให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากก็หยักยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ นางมองไปทางเขาอีกครั้ง แล้วสี่ตาก็ประสานกันเข้าพอดี!
หัวใจนางกระตุก แต่นางก็ไม่ได้หลบหน้าหนีอย่างแตกตื่นสติหลุด เพียงขบริมฝีปากอย่างขวยเขินด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ
“ท่านเมิ่งไม่ต้องจ่ายค่าโจ๊กแล้ว เหรียญเงินที่ท่านให้ไว้เมื่อวานนี้ยังซื้อโจ๊กขาวห้าสหายได้อีกหลายหม้อ ท่านไม่ต้องจ่ายแล้ว…หรือไม่ก็…หรือไม่พรุ่งนี้ท่านก็มาอีก ข้าจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมสักหลายชิ้นให้ท่านนำกลับไป ท่านเมิ่งจะได้เก็บบางส่วนไว้ให้ตัวเองกิน หรืออาจจะให้ผู้อื่นได้ด้วย” นางอยากกล่าววาจาแสดงความขอบคุณ แต่แล้วก็รู้สึกว่าของที่ตนสามารถทดแทนได้ช่างน้อยจนน่าระอา น้ำเสียงจึงสนิทสนมขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ทว่า…
“พรุ่งนี้ข้าไม่มาแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษเอ่ยอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา
เมื่อได้ยินชายตรงหน้าพูดเช่นนี้ ใบหน้าเจียงหุยเสวี่ยพลันชะงักค้าง เอ่ยถามโดยไม่ได้ตรึกตรอง…
“ท่านเมิ่งต้องออกนอกเมืองหลวงไปทำงานอีกแล้วหรือ ครานี้จะไปที่ใด ยังคงเป็นที่ชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่” นางถามติดกันสามคำถามด้วยปากที่ไวยิ่งกว่าความคิด เมื่อถามเสร็จ ใบหน้ากลับแข็งค้างยิ่งกว่าเดิม
“เอ่อ…คือว่า…ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านเมิ่งกลับมายังเมืองหลวง มาสอนการต่อสู้ที่ตรอกซงเซียง ข้าได้ยินผู้คนพูดกันว่าท่านเมิ่งคงจะทำธุระเสร็จแล้ว จึงกลับมาหาทุกคนได้…และมีคน…บอกข้าว่าท่านกลับมาจากชายแดนตะวันตก”
นางอยากจะกล่าวกลบเกลื่อน แต่วาจายังคงติดขัด ดีที่เมิ่งอวิ๋นเจิงไม่ได้ติดใจอะไรในคำพูดนาง ดวงตาสีเข้มที่มองมายังนางคู่นั้น แม้จะสงบนิ่งแต่ก็แฝงความอ่อนไหว ราวกับถูกนางก่อกวนโดยไม่ทันตั้งตัว
“ผู้แซ่เมิ่งเห็นว่าแม่นางเจียงคงจะเกิดที่ชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่”
เจียงหุยเสวี่ยพลันกำนิ้วทั้งสิบแน่น นัยน์ตาทั้งสองสั่นไหวน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงพูดสุภาพของเขากล่าวเสริมอีกว่า
“โจ๊กขาวห้าสหายชามนี้ของแม่นาง ข้าผู้แซ่เมิ่งเคยกินมาหลายหนยามอยู่ที่ชายแดนตะวันตก นับว่าเป็นอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปของท้องถิ่น” เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าลง “อีกทั้งพวกเจ้าสองพี่น้องหน้าตาไม่ค่อยเหมือนหญิงสาวชาวฮั่น ผิวพรรณออกขาว ดวงตาสีอ่อน สีผมยามต้องแสงแดดออกเป็นสีแดง เวลากล่าววาจาติดสำเนียงเหน่อ เป็นเฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่อยู่ชายแดนตะวันตก”
หน้าตาภายนอกและสำเนียงการพูดเดิมเป็นสิ่งที่ยากจะปิดบังได้ทั้งหมด การที่เขาดูออกก็ไม่นับเป็นอย่างไรได้ไม่ใช่หรือ เจียงหุยเสวี่ยปลอบตัวเองในใจ ริมฝีปากที่ยิ้มอย่างเขินอายเปิดออกอีกครั้ง
“ความจริงเป็นดังเช่นที่ท่านเมิ่งกล่าว” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มอีกครั้งบางๆ “ที่บ้านเก่า…ที่บ้านเก่าข้าไม่เหลือคนในครอบครัวแล้ว เหลือเพียงพวกข้าสองพี่น้องที่ต้องพึ่งพากันเอง ไม่มีทั้งที่นาและบ้านให้อาศัย ความเป็นอยู่ยากลำบากเกินกว่าที่จะทนต่อไป เราสองพี่น้องจึงตัดสินใจเดิมพัน ติดตาม…ตามขบวนพ่อค้ามายังเมืองหลวง” เมิ่งอวิ๋นเจิงได้ยินแล้ว สีหน้าก็ขรึมลง เขาพยักหน้า “เช่นนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะพาน้องสาวเดินทางมาไกลมาก กว่าที่จะได้ลงหลักปักฐานในเมืองหลวง”
นางหลุบตาลงและพยักหน้าเออออตาม “อืม…ใช่แล้ว ไกลมาก เป็นเส้นทางที่ไกลมากจริงๆ แต่…แต่ล้วนเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้สูงส่ง หากไม่มีเขา พวกเราสองพี่น้องก็คงอับจนหนทาง ตกตายด้วยความหิวโหยเสื้อผ้าขาดรุ่ยอยู่ในป่า ล้วนเป็นเพราะเขาที่ทำให้เรามีหนทางรอด…”
พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงหญิงสาวราวกับครวญเพลง ฟังดูอ่อนหวานจับใจ แม้แต่ใบหน้าก็ยังอ่อนโยนประดุจสายน้ำ ราวกับว่าเมื่อกล่าวถึงคนผู้นั้น ความอบอุ่นในก้นบึ้งจิตใจก็ท่วมทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน บุรุษที่นิ่งฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้างจึงอดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้…
‘ท่านผู้สูงส่ง’ ในวาจาของหญิงสาวผู้นี้ ที่แท้ได้สร้างบุญคุณใดไว้ และเป็นผู้สูงส่งเพียงใดสำหรับนาง
โปรดติดตามตอนต่อไป…