บทที่ 2
ครึ่งปีก่อน ที่ชายแดนตะวันตก
ระหว่างเทียนเฉากับชนเผ่าในชายแดนตะวันตกมีอาณาเขตชายแดนร่วมกันเล็กๆ ภูมิลักษณ์ที่แปลกประหลาดก่อให้เกิดสภาพอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกครั้งที่เที่ยงวันล่วงคล้อย เมฆจะเริ่มลดตัวลงกลายเป็นเกล็ดน้ำค้างที่จับตัวอยู่บนภูเขา ต่อให้เป็นฤดูร้อน เพียงแค่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ลมก็จะเริ่มพัดโชยมา ทำให้ผู้คนหนาวจนฟันสั่นกระทบกัน และผิวเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
หลังกระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของฤดูร้อนโหมทะลักใส่พวกนาง เจียงหุยเสวี่ยไม่หลงเหลือพละกำลังในการต้านทานอีกเลย
นางเพียงกอดโม่เอ๋อร์ไว้แน่น ปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาร่างกายหมุนวนกระแทกซ้ายปะทะขวา ประคองศีรษะตนเองให้พ้นผิวน้ำท่ามกลางกระแสคลื่นโดยไม่ลืมที่จะหายใจเข้าและหายใจออก
น้ำเชี่ยวกรากไหลจากที่สูงลงสู่เบื้องล่าง เดี๋ยวก็วิ่งพล่าน เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็ร่วงตกลงตามภูมิลักษณ์ จนกระทั่งพวกนางถูกพัดพามาไกลเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้
เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกเหน็บชาจนแทบสูญเสียสติสัมปชัญญะ จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างกัดผมของนางไว้ กระชากจนนางเจ็บไปถึงหนังศีรษะ ทำให้นางรู้สึกตัว พลันหยุดยั้งความนึกคิดที่กำลังจะล่องลอยไปไกลได้ทัน
ขณะที่สมองยังไม่ทันทำงานดี นางก็ออกแรงกอดที่สองแขน พบว่าโม่เอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดไม่ได้หายไปไหน จิตใจนางจึงสงบลง แต่หนังศีรษะกลับถูกดึงอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น…
‘ต้าชง หิวโหยเพียงใดก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ นั่นเป็นผมคนมิใช่พืชน้ำ อย่าได้กัดเล่น’
เสียงเดรัจฉานพ่นลมหายใจฟืดฟาดดังขึ้นที่ริมโสต เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกว่าหนังศีรษะคลายลงทันที ผมยาวร่วงลงมาปรกหน้า
นางเบิกตามองลอดผ่านเส้นผมที่เปียกชื้น นางกับโม่เอ๋อร์ถูกกระแสน้ำพัดพามาถึงริมแม่น้ำตอนล่าง เมื่อมองขึ้นไปเบื้องบน เห็นภูเขาซวงอิงขนาดใหญ่ยักษ์ที่กักขังนางเป็นเวลาสิบปีตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เวลานี้ดูเหมือนการต่อสู้ที่เชิงเขาจะสงบลงชั่วคราว ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีคนจำนวนมากล้มลง อีกทั้งมีคนสิบกว่าคนที่ถูกจับเป็นและมัดรวมกันไว้ทางด้านหนึ่ง กลุ่มชายหนุ่มที่สวมชุดของทหารกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในสนาม ทั้งช่วยคนของตนเองที่ได้รับบาดเจ็บ และเคลื่อนย้ายศพมาวางเรียงให้เป็นระเบียบ
เหตุที่วันนี้ผู้คนทั้งหมดต่างพากันวิ่งลงมาที่เชิงเขาและก่อความโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีใครมายับยั้งไม่ให้พวกนางหนีขึ้นไปที่ผาอิงจุ่ย ที่แท้เป็นเพราะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่บุกมาปราบปรามอย่างนั้นหรือ เช่นนี้แปลว่าสวรรค์…ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาแล้ว? ขณะที่เจียงหุยเสวี่ยกำลังคิดอย่างเลอะเลือน เสียงร้องฟืดฟาดแหบห้าวก็ดังขึ้นพร้อมลมที่เป่ารดเส้นผมเปียกชื้นของนาง ฟังดูเหมือนกำลังโมโหโทโสไม่พอใจ
พอนางเบนสายตากลับมา ก็ต้องผงะเล็กน้อย เนื่องด้วยระยะอันใกล้ชิดของหัวม้าขนาดใหญ่สีดำสนิท
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นอีกครา เอ่ยอย่างหมดความอดทน ‘ได้ เป็นข้าเข้าใจต้าชงผิด เจ้าไม่ได้กัดผมผู้อื่นเพราะหิวโหย แต่เป็นเพราะกลัวว่านางจะถูกน้ำพัดพาไปจึงรีบช่วยเอาไว้ด้วยปาก คาบผมนางลากขึ้นฝั่ง’
‘ฟืดฟาด…’ มันพ่นลมตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ
‘เจ้าจะเอาเรื่องข้าให้ได้เลยหรือ’ น้ำเสียงเขาอ่อนลง ‘ได้ ข้าผิดเอง หลังจากเสร็จเรื่อง ข้าจะเลี้ยงสุรานายท่านเป็นอย่างไร’
เจียงหุยเสวี่ยได้ยินม้าใหญ่ทำเสียงฟืดฟาดอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงเบาลงราวกับว่ายอมรับ ‘เครื่องขอขมา’จากฝ่ายบุรุษแล้ว จากนั้นมันก็ก้าวช้าๆ ไปดื่มน้ำที่อีกด้าน
ต่อมาสิ่งที่เล็ดลอดผ่านม่านผมเปียกชื้นสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุของนาง คือขายาวที่อยู่ในชุดรัดกุมสีดำ ถัดจากขาลงมาก็เป็นเท้าใหญ่ในรองเท้าลำลองทำจากหนังสีดำ
บุรุษผู้นั้นเอ่ยกับนาง ‘แม่นางได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ แล้วลุกขึ้นยืนได้หรือไม่’
ลำคอนางแห้งผาก นางกัดฝีปากพลันรู้สึกยากที่จะเอ่ยคำ ทำได้เพียงส่ายหน้าไปก่อน
เขาถามอีก ‘แม่นางน้อยที่เจ้าอุ้มอยู่ วางลงให้ข้าน้อยตรวจดูได้หรือไม่’
‘พี่สาว…พี่สาว…ฮือ…’
ไม่รู้ว่าร่างน้อยในอ้อมกอดตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด หรือเพียงแค่ละเมอร้องไห้ แขนเล็กผอมบางนั้นพลันกอดรัดนางแน่น ศีรษะซุกเข้ามาในอ้อมอกนาง เจียงหุยเสวี่ยสั่นสะท้านไปทั่วร่าง พลางกอดแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ
นางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่าทีของตนเองในเวลานี้ดูต่อต้าน ระแวงและหวาดหวั่นราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดมาแย่งคนไป
ทหารนายหนึ่งวิ่งอย่างฉับไวมาหยุดอยู่ที่บุรุษตรงหน้านาง รีบร้อนรายงาน…
‘ใต้เท้ายอดมือปราบ พบเด็กหญิงสิบสามคนกับเด็กชายเจ็ดคนในที่คุมขังของภูเขาซวงอิง ดูจากชุดของพวกเขาแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเด็กๆ ที่หายตัวไปอย่างต่อเนื่องของชนเผ่าในแถบนี้ ก่อนหน้านี้หัวหน้าของแต่ละเผ่าเคยแลกเปลี่ยนข่าวสารและช่วยกันตามหา และร้องเรียนไปยังที่ว่าการท้องถิ่นของที่นี่ด้วย ในที่สุดตอนนี้ก็ตามหาพบแล้ว เพียงแต่ว่า…ดูท่าแล้ว…ไม่ค่อยดี…’ คำพูดรัวเร็วเมื่อกล่าวมาถึงช่วงท้ายก็ต้องชะงักลง