ในคืนนั้นที่ชายแดนตะวันตกนอกเมือง นางกอดโม่เอ๋อร์และซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมหนากว้างที่บุรุษผู้นั้นมอบให้ ด้วยความช่วยเหลือจากท่านป้าซาฉีซึ่งเป็นหน่วยช่วยเหลือที่ติดตามมา นางกับโม่เอ๋อร์จึงได้ปักหลักในกระโจมหลังเล็กที่ปลูกขึ้นมาชั่วคราว ไม่เพียงเท่านี้ พวกนางสองพี่น้องยังได้อาบน้ำร้อน อีกทั้งยังได้กินอาหารและน้ำแกงร้อนชามใหญ่
เจ้าหน้าที่หนุ่มที่เรียกตนเองแซ่เมิ่งท่านนั้น ดูเหมือนจะมีตำแหน่งที่สูงและสำคัญ ทั้งยังทำงานยุ่งตัวเป็นเกลียว นางเห็นแล้วว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการของท้องถิ่นที่สวมชุดเครื่องแบบต่างพากันมาขอคำชี้แนะหรือหารือกับเขา หัวหน้าเผ่าหลายคนต่างก็มาล้อมวงคุยธุระด้วย
แสดงว่าเขาเป็นบุคคลที่เก่งกาจมาก…
บุคคลที่เก่งกาจท่านนี้ ดูเหมือนจะเข้มงวดและถือตัว แต่กลับปฏิบัติต่อผู้อ่อนแออย่างดียิ่งและมีความอดทนสูงมาก
คืนนั้นนางขดอยู่ในกระโจมพลางกอดโม่เอ๋อร์ที่หลับลึกไป ข้างนอกผู้คนที่ค้างแรมในป่าจุดคบเพลิงขึ้นและจัดเวรยามเฝ้าระวังป้องกัน ความคิดนางวุ่นวายสับสนไม่อาจข่มตาหลับได้ นางเห็นเงาของเขาทาทาบรางๆอยู่บนกระโจม ซึ่งกำลังถามไถ่ความเป็นอยู่ของพวกนางสองพี่น้องกับท่านป้าซาฉีด้วยเสียงแผ่วเบา
ราวกับดูออกว่านางหวาดกลัวและระแวง พอเขาฝากฝังพวกนางกับผู้อื่นแล้ว ก็ไม่ได้มาคุยกับนางอีก แต่กลับไต่ถามเป็นการส่วนตัว
ภายหลังเมื่อสะสางงานสำคัญในภูเขาซวงอิงแล้ว เขากับทหารประจำท้องถิ่นก็คุมตัวโจรภูเขาสิบกว่าคนจากไป ท่านป้าซาฉีจึงนำนางและโม่เอ๋อร์กลับไปที่บ้าน
บ้านของท่านป้าซาฉีตั้งอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกสตรีจะมีหน้าที่ดูแลเด็กและคนชราในบ้าน ทำนา เลี้ยงหม่อน ทอผ้า ส่วนบุรุษที่ยังหนุ่มแน่นแข็งแรงส่วนใหญ่กลับออกไปค้าขาย
นางและโม่เอ๋อร์อยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นเป็นเวลาสามเดือนเต็ม
ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่คิดอยากจะจากไป
แต่เนื่องจากพวกนางกระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย ถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดพา ทำให้บนตัวโม่เอ๋อร์ได้รับบาดแผลจากการขูดกระแทกหลายแห่ง กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายกับกระดูกซี่โครงถึงกับหักไปสองซี่ นางก็เพิ่งจะรู้ในภายหลัง และนางเองก็ไม่ได้มีอาการดีไปกว่ากัน นางอาจดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่ลมปราณในทรวงอกกลับติดขัด ต้องลอบเดินลมเองอยู่หลายวันถึงจะกระอักเลือดเสียออกมาได้หมด
อีกทั้งร่างกายของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงที่นางไม่รู้จัก
ตอนอยู่ในลาดเขาไหเพาะหนอนกู่ที่สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง นางคิดว่าตนเองได้ตายไปแล้วจริงๆ ตายแล้วฟื้นคืนชีพใหม่ จึงทำให้เลือดลมในร่างกายของนางเปลี่ยนเป็น…สะอาดขึ้น? หรือควรจะกล่าวว่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?
ตอนที่นอนจมกองโคลน ราวกับว่านางตกอยู่ในห้วงแดนอันไร้ขอบเขต ได้ยินเสียงท่านยายคุยกับนาง…
‘อย่าลืมว่าต้องหายใจอย่างไร ยายเคยสอนเจ้า…’
‘เสวี่ยหลานรัก เจ้ายังจำวิธีการหายใจเข้าออกได้หรือไม่’
เมื่อย้อนรอยตามสายใยความทรงจำที่ไม่รู้ว่าซ่อนฝังไว้ตั้งแต่เมื่อใด บางทีอาจจะเป็นตอนนั้น ที่ร่างกายนางตอบสนองขึ้นมาเอง จึงใช้วิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ที่ท่านยายเคยสอนนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นวิชาการหายใจเข้าออกเพื่อปรับสมดุลธาตุภายในที่ท่านยายผู้เป็นถึงหัวหน้าแม่มดแห่งเผ่าไป๋ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ นางในวัยเด็กเคยฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยไปถึงโลกวิญญาณไร้พรมแดนดังคำบอกเล่าของท่านยายมาก่อน
แต่ว่าครานี้…นางไม่รู้จริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด ไม่มีทางที่จะหนี และหมดสิ้นหนทางถอย ดวงวิญญาณและลมปราณของนางจึงข้ามผ่านทุกสิ่งไปยังห้วงแดนที่ว่างเปล่าแห่งนั้น
ต้นสายปลายเหตุความเปลี่ยนแปลงในร่างกายนางนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สิ่งเดียวที่แน่ชัดก็คือหนอนกู่ในร่างกายและพิษในเลือดนางล้วนถูกสะกดเอาไว้ นางใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะตระหนักได้ว่าพลังบริสุทธิ์สายนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวตนและร่างกายของนางเอง