ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทที่ 2
ก่อนหน้านี้ เลือดแต่ละหยดของนางสามารถทำให้ดอกไม้ใบหญ้าที่อุดมสมบูรณ์เปี่ยมพลังชีวิตแห้งเหี่ยวอับเฉาได้ในชั่วพริบตา สำนักเหยี่ยนเหมินจะใช้คนอย่างพวกนางในการปลูกถ่ายหนอนกู่และยาพิษ นางคือ ‘มนุษย์หนอนกู่’ และ ‘ตับพิษ’ แต่พอผ่านการตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา นางก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป
เลือดเสียที่นางขับออกมาระหว่างการเดินลม ความจริงแล้วก็กระอักลงบนพื้นหญ้า
แต่หญ้ายังคงเป็นสีเขียวสด
นางมองดูเลือดซึมลงดินตาค้าง กลั้นใจรอคอย ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไม่กะพริบ ผลปรากฏว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามปกติ นางไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตบนดินตกตายหรือเหี่ยวแห้ง
หลังจากนั้นนางก็ทดสอบอีกหลายครั้ง ถึงขั้นกรีดนิ้วตัวเองเพื่อหยดเลือดผสมลงในน้ำ แล้วลอบนำไปป้อนให้ไก่ที่ท่านป้าซาฉีเลี้ยง
ผลปรากฏว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไก่ตัวผู้ยังคงวิ่งเล่นร่าเริง ร้องขันเสียงดังกังวาน ไก่ตัวเมียก็ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน วางไข่อย่างขยันขันแข็งต่อไป
นางคิดว่าถ้าหากความเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ จริงล่ะก็ นั่นอาจเป็นวิธีเดียวที่นางจะช่วยตนเองได้
วิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ปราณไหลเวียนจากจุดตันเถียนไปทั่วแขนขาและกระดูก ขอเพียงจับเคล็ดวิชาได้ ลมปราณจะไหลหลั่งต่อเนื่องไม่ขาดตอน วิธีการจับเคล็ดวิชานี้ทำได้ไม่ยาก เพียงฝึกฝนไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะบรรลุหรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคและวาสนา
เพราะเหตุนี้นางจึงหันมาฝึกฝนวิธีการหายใจเข้าออกนี้ใหม่อีกครั้ง
ทั้งหมดล้วนพึ่งพาความทรงจำในวัยเยาว์ที่มีอยู่น้อยนิด ค้นหาไปทีละขั้น เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้อะไรเลย บางครั้งนางยังรู้สึกได้ถึงเลือดลมที่มีพลังในการชำระล้าง ซึ่งกดทับอะไรบางอย่างที่พร้อมจะออกมาก่อกวนเอาไว้
ดังนั้นนางกับโม่เอ๋อร์ต่างจำเป็นต้องอยู่ค้างในหมู่บ้านต่อไป โม่เอ๋อร์รักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนนางก็คอยปรับสภาพตนเองที่เปลี่ยนไปจากเดิม ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งไม่อยากจากไป แต่พวกนางมิอาจไม่ไป
หมู่บ้านบนภูเขาของท่านป้าซาฉีนั้นดีมากๆ มีทุกอย่างที่นางวาดหวังไว้ยามฝันถึงวัยเด็ก ท้องฟ้าสีคราม น้ำใสกระจ่าง ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย สายลมที่โชยมาปะทะใบหน้า นำเอากลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดและกลิ่นสดชื่นที่ทำให้ผู้คนจิตใจสงบของต้นหญ้ามาให้อยู่เป็นนิจ เพียงแต่ระยะทางจากหมู่บ้านน้อยบนภูเขาแห่งนี้กับภูเขาซวงอิง…
ช่างอยู่ใกล้กันเสียจริง!
วันนั้นที่ทหารของทางการมาจับโจร ในบรรดาสิบกว่าคนที่ถูกจับกุมตัว กลับไม่มีผู้นำของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง ในกองศพของโจรภูเขาที่ถูกนำมาวางเรียงกัน ก็ไม่มีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงของสำนักเหยี่ยนเหมินเลย
โฉมหน้าของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงสร้างมาได้ดียิ่ง ในสายตาคนนอก ภูเขาซวงอิงคือที่ที่ถูกโจรโฉดชั่วไม่เห็นกฎหมายหรือฟ้าดินอยู่ในสายตาเข้ามายึดครอง ปล้นชิงทรัพย์สิน และฆ่าคนราวกับมดปลวก มาตอนนี้จับโจรได้แล้วเรื่องก็จบสิ้น แต่กับผู้ที่ใช้โจรชั่วกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือและซ่อนอยู่เบื้องหลังความทุกข์อันใหญ่หลวงของนาง หากมิใช่ผู้ที่แทรกซึมอยู่ในนั้น จะมีผู้ใดแยกแยะออก
แรกเริ่มนางสับสนมึนงง มีเรื่องราวมากมายปะปนกัน แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ภายหลังพอได้ตั้งหลักในหมู่บ้านน้อยบนภูเขากับท่านป้าซาฉี จึงอยากจะนำเรื่องมาบอกแต่ก็ไม่รู้ว่าควรที่จะบอกใคร
ไม่มีใครให้บอก ทุกอย่างยิ่งเหมือนกับมีน้ำท่วมปาก ในที่สุดนางจึงโน้มน้าวตัวเองว่าในเมื่อโจรภูเขาแห่งภูเขาซวงอิงถูกจับกุมไปแล้ว สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงก็ไม่เหลือบริวารที่เป็นลิ่วล้อกลุ่มใหญ่ให้ใช้บงการได้อีกต่อไป รากฐานย่อมได้รับผลกระทบกระเทือน
เพียงแต่ความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมจิตใจนางชนิดที่ขับไล่อย่างไรก็ไม่ไป นางกลัวว่าหากยังคงอยู่ต่อไม่ยอมไป แล้วเกิดมีคนตามมาหาถึงที่นี่ ก็จะทำร้ายท่านป้าซาฉีและชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้
ภายหลังขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่งของหมู่บ้านบนภูเขาได้สมุนไพรล้ำค่าตากแห้งจากนอกด่านชายแดนตะวันตกมาหลายคันรถ และต้องการจะนำไปส่งที่เมืองหลวงของเทียนเฉา นางจึงกล่าวอำลาท่านป้าซาฉี พาโม่เอ๋อร์ที่เริ่มทุเลาจากอาการบาดเจ็บออกติดตามขบวนพ่อค้ามายังทางตะวันออก ไปให้ไกลจากภูเขาซวงอิง
ก่อนจะจากไป ท่านป้าซาฉีมอบก้อนเงินถุงเล็กๆ ให้แก่นางเป็นพิเศษพร้อมกับใบขออนุญาตเข้าเมือง
‘แม่นางอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ก้อนเงินถุงนี้ไม่ใช่ของบ้านข้า แต่เป็นของมือปราบเทวดาใต้เท้าเมิ่ง เขาฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลแม่นางทั้งสอง จึงทิ้งเงินไว้สำหรับซื้อยาและอาหารดีๆ ให้พวกเจ้าสองพี่น้องรักษาอาการบาดเจ็บ และบำรุงร่างกาย ฮ่าๆๆ ความจริงข้าก็ใช้ไปแล้วตั้งมาก เหลือเพียงแค่นี้ เจ้าก็เก็บไว้ดีๆ พอออกเดินทางแล้ว ภายหน้าก็จะมีเรื่องให้ใช้เงินอยู่บ่อยๆ
แล้วก็ใบขออนุญาตเข้าเมืองสองฉบับนี้ ท่านเมิ่งคำนวณไว้อย่างรอบคอบ มืดค่ำคืนนั้นเขามาหาเพื่อไถ่ถาม ข้าก็อธิบายเรื่องของพวกเจ้าให้เขาฟัง บอกว่าตอนนี้พวกเจ้าพึ่งพาอาศัยกันเพียงสองพี่น้อง ไม่มีสมบัติติดตัว ไม่รู้ว่าภายหน้าจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ใด ท่านเมิ่งจึงให้กระดาษสองฉบับนี้มาก่อนจะไปจากที่นี่ พวกเจ้าก็พกติดตัวไว้จะได้ใช้ในยามผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง’
ท่านป้าซาฉีเป็นผู้มีพระคุณสูงส่งของนางกับโม่เอ๋อร์
ส่วนใต้เท้ามือปราบแซ่เมิ่งยิ่งเป็นผู้มีพระคุณสูงส่งในหมู่ผู้สูงส่ง
ตอนนั้นได้รับความช่วยเหลือจากเขาที่ริมลำธารใต้ภูเขาซวงอิง นางคิดว่าเขาทำให้เพียงเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าลับหลังเขายังทำเพื่อพวกนางสองพี่น้องมากมายขนาดนี้
หากไม่มีเขา นางก็จะไม่รู้จักกับท่านป้า ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านน้อยบนเขาแห่งนั้น นางกับโม่เอ๋อร์ก็จะไม่มีทางได้รักษาอาการบาดเจ็บดีๆ และหากตอนนั้นพวกนางไม่ได้รับการช่วยชีวิต นางเพียงคนเดียวอาจจะอดทนจนรอดไปได้ แต่ว่าโม่เอ๋อร์…นางไม่กล้าที่จะคิดเลย