ดังนั้นหลังจากนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเวลาครึ่งเดือน ขบวนพ่อค้าก็เดินทางมาถึงเขตแดนอันร่ำรวยและงดงามเปี่ยมสุนทรีของราชวงศ์เทียนเฉา แล้วเดินทางต่อไปไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด
แต่แล้วโม่เอ๋อร์พลันล้มป่วย เป็นหวัดและไอเล็กน้อย ร่างกายอยู่ในสภาวะที่มีไข้อ่อนทรงตัวมาตลอดทาง ตัวคนล้มป่วยซมซานไม่มีเรี่ยวแรง
โชคยังดีที่ได้ความช่วยเหลือจากท่านอาผู้นำขบวนพ่อค้าที่เป็นคนกว้างขวาง ช่วยพวกนางเช่าที่อยู่อาศัยเล็กๆ ในเฉิงเป่ยของเมืองหลวงแห่งนี้ ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไปค้าขายยังอีกอำเภอหนึ่ง
ห้องหับอาจจะเล็กไปบ้าง ลานบ้านก็เป็นลานของเรือนหมู่ที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน แต่สำหรับนางกับโม่เอ๋อร์ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือค่าเช่าราคาถูกมาก
เป็นดังที่ท่านป้าซาฉีพูดไว้ไม่ผิด พอออกเดินทางแล้วก็จะมีเรื่องให้ต้องใช้เงินบ่อยๆ
พวกนางติดตามขบวนพ่อค้าเข้ามายังเมืองหลวง ระหว่างทางก็ใช้เงินไปบางส่วน ต่อมาพอโม่เอ๋อร์ล้มป่วย นางก็ต้องจ่ายค่ารักษาและยาให้ ทั้งยังเช่าห้องที่ทั้งสองคนจะลงหลักปักฐานร่วมกัน ให้สาวน้อยได้พักฟื้นอย่างวางใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก้อนเงินถุงเล็กนั้นก็ร่อยหรอจนแทบจะเห็นถึงก้นถุง
นางจึงไม่มีทางเลือก หยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างรองเท้ายาวออกมาแล้วแกะหินที่อยู่บนนั้นออก ลักลอบนำไปยังโรงรับจำนำ
ตอนที่นางถูกไล่ต้อนไปที่ลาดเขาซึ่งเป็นไหเพาะหนอนกู่ตามธรรมชาติแห่งนั้น นางก็พกมีดสั้นเล่มนี้ติดตัวไว้อยู่ตลอดเวลา
จะว่าไปแล้วก็น่าขำ มีดสั้นนี้เป็นมีดที่เจ้าสำนักเหยี่ยนเหมินมอบให้กับพวกนางทั้งสิบห้าคน ซึ่งเป็นเด็กสาวที่พวกเขาตั้งใจจะใช้ร่างกายเป็นภาชนะปลูกถ่ายหนอนกู่
ภายหลังนางค่อยได้คิดว่าบางทีเจ้าสำนักเหยี่ยนเหมิน นอกจากจะอยากเห็นพวกนางเอาชีวิตไปแลกกับสัตว์มีพิษทั่วทั้งลาดเขาแล้ว ที่จริงก็อยากเห็นว่าพวกนางซึ่งเป็นเด็กสาวเพียงไม่กี่คนจะเข่นฆ่าอย่างทารุณเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดอันน้อยนิดของตัวเองอย่างไรบ้าง
ตอนที่อยู่ในไหเพาะหนอนกู่ยักษ์ นางไม่รู้ว่าคนอื่นได้เข่นฆ่านองเลือดตามที่เจ้าสำนักต้องการหรือไม่ แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางจำต้องพึ่งพาอาศัยตัวเองเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องดูแลโม่เอ๋อร์ และสิ่งที่จะช่วยได้อย่างรวดเร็วที่สุดก็คือหินสลักรูปงูที่ฝังอยู่บนมีดสั้นนี้
พอนางมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงค่อยรู้ว่ามีสถานที่เช่น ‘โรงรับจำนำ’ อยู่ด้วย
หินสลักรูปงูมีขนาดใหญ่ประมาณเล็บนิ้วมือ ความจริงแล้วนางเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีราคาค่างวดเท่าใด แต่พอนำหินเล็กๆ ที่ส่องประกายไปแลกเป็นเงินจำนวนห้าสิบตำลึงเงิน นางก็รู้สึกว่าดีแล้ว…อืม ที่จริงก็ดีจนไม่รู้ว่าจะดีอย่างไรแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะได้ซื้อของให้โม่เอ๋อร์ได้พักฟื้นอย่างเหมาะสม แล้วยังมีเงินทุนสำหรับประกอบกิจการขนาดเล็ก
ในที่สุดก็สามารถหนีไปให้ไกลจากชายแดนตะวันตกและลงหลักปักฐานสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวงของเทียนเฉาได้เสียที
หลบลี้อยู่ในเมือง เป็นเช่นนี้ดียิ่ง
อืม…อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เพียงใด หากปล่อยให้เล็ดลอดออกไปเป็นข่าวลือ ข่าวสารนั้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเรือนหมู่ หรือถึงขั้นทั่วทั้งตรอกซงเซียง
อย่างเรื่องที่ ‘ท่านเมิ่งมาขอกินทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง’ สืบเนื่องจากท่านเมิ่งได้ออกมาช่วยนางในที่ที่เขา ‘ไม่ควรจะมาปรากฏตัว’ ต่อหน้าหูตาของผู้คนมากมายในที่เกิดเหตุ สุดท้ายจึงสร้างความวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่
ผู้คนต่างเชื่อคำพูดของโม่เอ๋อร์กันมากกว่า คิดว่าเมิ่งอวิ๋นเจิงมาขอกินจริงๆ ไม่ว่าภายหลังนางจะยืนยันอย่างไรก็ตาม ว่าที่จริงแล้วท่านเมิ่งจ่ายค่าโจ๊กทุกครั้งและยังจ่ายเกินมาตั้งมาก แต่ทุกคนก็ไม่ฟังคำพูดเน้นย้ำของนาง ท่านยายเฉียวถึงกับมาหยิกมือนางเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม…
“เด็กโง่ จ่ายหรือไม่จ่ายเงินสำคัญด้วยหรือ”
ไม่จ่ายเงิน มากินเสียเปล่าๆ แล้วจะไปต่างอะไรจากคนรับใช้ของสกุลจ้าวสามคนนั้นที่อาศัยอำนาจของนายมาข่มเหงผู้อื่น ไฉนจึงไม่สำคัญเล่า เจียงหุยเสวี่ยขบคิดอย่างไม่เข้าใจ รู้เพียงแต่ว่าไม่อยากให้เมิ่งอวิ๋นเจิงถูกเข้าใจผิด จึงรีบแก้ต่างให้อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายท่านยายเฉียวก็ยิ้มพลางส่ายหน้า ตบหลังมือของนางอย่างค่อนข้างหมดความอดทน “เอาเถิดๆ เจ้ากับข้าก็นับว่ามีวาสนา ภายหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ยายแก่อย่างข้าจะขออาสาดูให้เจ้าแล้วกัน”
นางยังคงดูเหมือนไม่เข้าใจ