หญิงชราจึงส่ายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้าเด็กคนนี้…เฮ่อ กลายเป็นแม่นางใหญ่อายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าใจ ควรจะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ชายผู้หนึ่งมาขอโจ๊กเจ้ากินทุกวัน เจ้าคิดว่าเขามาขอกินเพียงแค่อาหารเท่านั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีไม่สะดวกออกปากเอง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบ มียายแก่อย่างข้าอยู่ทั้งคน พวกข้าไปถามท่านเมิ่งให้กระจ่างแทนเจ้าก็ได้”
แม่นางผู้หนึ่ง ชายผู้หนึ่ง เรื่องราวเช่นนี้…
ที่แท้ทุกคนกำลังคิดว่า…คิดว่าที่ชายผู้นั้นสนใจไม่ใช่อาหาร แต่เป็นนางอย่างนั้นหรือ
เจียงหุยเสวี่ยพลันตระหนกจนใบหน้าซีดเผือด!
นางเริ่มจากตกใจจนหน้าถอดสีก่อน ผ่านไปสักครู่สองข้างแก้มค่อยขึ้นสีเลือดฝาด แดงซาบซ่านระบายไปทั่วใบหน้าดวงเล็ก
เรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นที่ต่อให้นางพูดจนปากฉีก ก็ไม่อาจแก้ไขให้กระจ่างได้ ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร ท่านยายเฉียวก็คงมีความคิดเป็นของตนเองไปแล้ว ใช่ว่านางจะสั่นคลอนได้ง่ายๆ
ความจริงแล้ว ตั้งแต่นางออกจากชายแดนตะวันตกมาลงหลักปักฐานในเมืองหลวง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันได้พบกับ ‘ผู้มีพระคุณสูงส่งในหมู่ผู้สูงส่ง’ อีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางถูกความจริงตามไล่ล่า จำต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ต้องดูแลโม่เอ๋อร์ ต้องหาทางมีชีวิตต่อไป แล้วยังต้องใส่ใจต่อความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอยู่เนืองๆ…
แรกเริ่มนางไม่ได้คิดอะไรมาก จนนางได้ยินผู้อื่นกล่าวขวัญถึงความสำเร็จต่างๆ ของท่านเมิ่งที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมือปราบเทวดา นางค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวนางกับใต้เท้ายอดมือปราบบางทีอาจจะอยู่ในที่เดียวกันของเมือง อาจจะอยู่ใกล้กันมากๆ ก็ได้
หลังจากนั้น วันหนึ่งเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างเป็นมั่นเหมาะ
เขามาชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเหล่าเด็กๆ ในตรอกซงเซียง ขอชิมโจ๊กหนึ่งชามจากนาง ตอนนั้นที่นางพบเจอกับเขา พายุในใจนางปั่นป่วนเกินกว่าที่คำพูดใดจะพรรณนาได้
นางคิดว่าตนเองต้องดูโง่เง่ามากแน่ๆ มัวแต่ตกตะลึงปล่อยให้เขาพูดตั้งสามครั้งกว่าจะเข้าใจ พอเรียกสติคืนได้แล้วก็ตื่นเต้นลนลาน
สิบนิ้วเชื่อมโยงกับใจ เพราะใจของนางกำลังตื่นเต้นยินดี ทำให้นิ้วทั้งสิบของนางสั่นระริก แม้แต่ ‘การตักโจ๊กส่งให้อย่างสงบเสงี่ยม’ นางยังทำได้ไม่ดี
เขาจำนางไม่ได้
พอทราบถึงข้อนี้แล้ว แรกเริ่มนางก็ตกใจมาก แต่พอย้อนนึกดูถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น…
นางมีเส้นผมเปียกปอนปกปิดใบหน้า ตื่นกลัวดุจวิหคตื่นเกาทัณฑ์ หนาวจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง อีกทั้งปวดจนรู้สึกด้านชา จะกล่าววาจาใดก็กล่าวได้ไม่ครบถ้วน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่เอ๋อร์ที่กอดนางแน่นไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขดตัวภายในอ้อมอกนางและสั่นอย่างรุนแรงยิ่งกว่านางเสียอีก
เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ชีวิตลงตัวดีแล้ว นางเชิดหน้ายืดอกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข เลี้ยงดูโม่เอ๋อร์จนมีเนื้อมีหนัง เรียนรู้ที่จะหัวเราะ ว่าจะหัวเราะร่วมกับผู้อื่นอย่างไร เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดาสามัญ พยายามนึกถึงรายละเอียดของทุกอย่างที่นางเคยมีก่อนช่วงอายุหกขวบ…นางในตอนนี้ แตกต่างจากหญิงสาวที่ถูกม้าของเขาดึงผมขึ้นฝั่งในวันนั้นเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็มีหน้าตาภายนอกที่ยากจะนึกเชื่อมโยงกัน เขาจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วก็เพราะความเห็นแก่ตัวของนางเอง นางรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาจำได้ เช่นนั้นก็ดีแล้ว
แม้นางจะรู้สึกซาบซึ้งเขาอยู่ในใจ แต่ก็คิดว่าหากจะทำความรู้จักกับผู้มีพระคุณท่านนี้ ก็จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่ภูเขาซวงอิง