ตอนนี้พอเห็นหญิงสาวพยักหน้าทักทาย เขาก็พยักหน้าตอบ เอ่ยอย่างสุภาพ…
“อันธพาลที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงไว้สามคนเมื่อเช้า ข้าให้หน่วยประตูหกบานคุมตัวไปขังแล้ว จ้าวชิ่งไหลเองก็มีคดีติดตัวไม่น้อย ทางหน่วยประตูหกบานอยากจับเขามานานเพียงแต่ยังไม่มีโอกาส ครั้งนี้ดูจากการที่ลูกน้องสามคนของเขาออกมาข่มเหงรังแกผู้คนพอดี สามารถซัดทอดถึงเขาได้ไม่ยาก แม่นางเจียงกับน้องสาวสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารังควานถึงที่”
อันที่จริงเขาควรจะถามอย่างใคร่ครวญ ว่านางถูกชาวบ้านในตรอกซงเซียงติฉินนินทาหรือไม่
บุรุษอย่างเขาไปปรากฏตัวที่เรือนหมู่เพื่อรอกินโจ๊กของนางอยู่ทุกวัน เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไปย่อมทำลายชื่อเสียงของหญิงสาว ผู้อื่นไม่กล้ามาถามกับเขา แล้วนางเล่า จะต้องรับมือจนเหนื่อยล้าหรือไม่
แต่ท่าทีที่สงบนิ่งของนางนั้นคือความเอียงอาย ทว่าก็ไม่ได้คิดจะหลบหน้า ราวกับอยากปล่อยให้เรื่องวุ่นวายเมื่อเช้านั้นผ่านพ้นไป ดูนางไม่ได้ใส่ใจนัก หากเขาถามขึ้นมาอีกจะยิ่งทำให้นางวางตัวไม่ถูก
คำถามมาถึงปลายลิ้นคาอยู่ในริมฝีปากนุ่มที่เผยอออก เขาหลุบตามองดรุณีน้อยที่ชื่อว่า ‘โม่เอ๋อร์’ อีกฝ่ายพอสบตากับเขาก็หลบเร้นในทันที โหนกแก้มโป่งพองอย่างเห็นให้ชัด ดึงให้สองแก้มทั้งกลมทั้งตึงราวกับเป็นกระต่ายที่ตะกลามกินหัวไช้เท้าแล้วลืมกลืน จนเขาอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้
เจียงหุยเสวี่ยรู้ดีว่าเรื่องที่มือปราบเทวดาปราบปรามคนชั่ว และออกหน้าให้พวกนางสองพี่น้องที่แผงร้านขายโจ๊ก เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป กิจการขายโจ๊กร้านเล็กๆ ของนางย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้อง
เพียงแต่คำพูดคนแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
นางมารออยู่ที่นี่ในเวลานี้ ในลานเล็กของตรอกซงเซียงที่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่มีใครไม่แอบกระซิบกระซาบ…นางขบริมฝีปาก ในใจลอบรู้สึกยินดี
แต่ว่าเอาเถิด ผู้อื่นจะพูดอย่างไรก็พูด หากคิดจะหลบหน้าเขาตอนนี้ ก็คงสายไปเสียแล้ว
จึงเดินออกไปตามที่ตั้งใจไว้ เป็นตัวของตัวเองก็พอ
“ขอบคุณท่านเมิ่งที่ดูแล” นางกล่าวเสียงเบา
เมิ่งอวิ๋นเจิงรับคำคราหนึ่ง หยุดไปชั่วครู่แล้วถามขึ้น “ไฉนแม่นางโม่เอ๋อร์จึงไม่มีความสุข”
พลันได้ยินผู้อื่นถามถึง โม่เอ๋อร์น้อยก็ตัวแข็งค้าง หลบไปอยู่ข้างหลังพี่สาวครึ่งตัว ก้มหน้าไม่พูดจา
เจียงหุยเสวี่ยดึงมือเล็ก แล้วก็ลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กสาว เรียกอย่างให้กำลังใจ “โม่เอ๋อร์…”
ดรุณีน้อยยังคงนิ่งเงียบ แต่เท้าข้างหนึ่งเริ่มเขี่ยไปมาบนพื้นดิน
“อ้อ ที่แท้โม่เอ๋อร์ก็ลืมคำพูดพี่สาวไวขนาดนี้เชียว” นางรำพึงอย่างเศร้าสร้อย
“ไม่ใช่!” เด็กสาวรับไม่ได้ที่ถูกเข้าใจผิด จึงเงยหน้าขึ้นปฏิเสธ “ไม่ได้ลืมเสียหน่อย!”
“ที่แท้ก็ไม่ได้ลืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจียงหุยเสวี่ยยังคงยิ้มให้กำลังใจ “ในเมื่อไม่ได้ลืม ไหนบอกพี่มาว่าต้องทำอย่างไร”
เดิมเมิ่งอวิ๋นเจิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เข้าใจว่าโม่เอ๋อร์ขี้อาย กลัวเกรงเขาที่ทำหน้าตาเคร่งขรึม และมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำมากจึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ชั่วอึดใจต่อมา เด็กสาวก็แย่งตะกร้าไม้ไผ่ที่พี่สาวถืออยู่ในมือแล้วเดินออกมา ส่งยื่นให้เขาโดยตรง
“ให้เจ้า!”
สายตาของสาวน้อยยังคงลดต่ำไม่ยอมมองดูเขา แต่เสียงที่อู้อี้กระแทกเข้าโสตประสาท
“ให้เจ้า!”
เมิ่งอวิ๋นเจิงมองไปยังเจียงหุยเสวี่ยทันที เห็นหญิงสาวยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ขวยเขินเอียงอาย พอเขารู้ตัวอีกที ก็ยื่นมือไปรับตะกร้าไม้ไผ่ที่โม่เอ๋อร์ส่งมาให้แล้ว
ตะกร้าไม้ไผ่เมื่อถืออยู่ในมือของแม่นางทั้งสองดูค่อนข้างใหญ่ แต่พอมาอยู่ในมือของเขากลับดูเหมือนหดลงเพราะโดนน้ำ
กลิ่นหอมของอาหารโชยมาแตะจมูก ก่อนหน้านี้ยามเข้าใกล้พวกนางสองพี่น้องก็ได้กลิ่น มาตอนนี้ถือตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในมือ กลิ่นหอมก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
เขาเปิดผ้าขาวที่คลุมไว้ด้านบนออกโดยไม่รู้ตัว ก้นตะกร้ายังรองผ้าผืนหนาไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้านในอัดแน่นไปด้วยขนมทรงสี่เหลี่ยมที่เรียงขนัด ขนมสีน้ำตาลแซมสีแดง เป็นสีของน้ำตาลทรายกับสีแดงของพุทราแดง ผสมกับสีจากการเคี่ยวน้ำผึ้งข้นๆ ด้วยไฟ กลิ่นของวัตถุดิบพวยพุ่งออกมาทั้งหมด กลิ่นหวาน กลิ่นหอม กลิ่นเข้มข้นของน้ำผึ้ง ชั้นแรกตามด้วยอีกชั้นหนึ่ง
เขาพยายามควบคุมสีหน้าของตนเอง เพียงรู้สึกรุ่มร้อนในอก ลำคอหดเกร็ง น้ำลายเอ่อขึ้นมาจากโคนลิ้น ทำให้เขาไม่อาจไม่กลืนลงไปจนลูกกระเดือกพลอยขยับขึ้นลงตาม
ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อม
นางบอกว่าของหวานชนิดนี้ก็เหมือนกับโจ๊กขาวห้าสหาย ต่างก็เป็นของกินที่คนทางชายแดนตะวันตกกินกันบ่อยๆ และเพราะนางทำมาเยอะมาก ดังนั้นจึงอยากแบ่งให้เขาชิม
รสชาติที่ให้สัมผัสนุ่มละมุนและหวานแต่ไม่เลี่ยนเช่นนั้นเป็นรสชาติที่เขาชอบ ชอบมาก ว่าตามจริงก็คือเขาชอบมันมากเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ตัวเขาที่ฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ต้องอดทนต่อความยากลำบาก จึงรู้จักยับยั้งชั่งใจจนเป็นนิสัย เขาสามารถกินขนมจานเล็กๆ ที่นางให้เป็นบางครั้งจนเกลี้ยง แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอกินเองหรือขอกินเพิ่มมาก่อน มาเวลานี้ขนมทั้งตะกร้ามาอยู่ในมือเขาโดยไร้ซึ่งคำอธิบาย แล้วเขาจะทำอย่างไรดี