หญิงสาวตรงหน้าเขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เมื่อบ่ายเหลือเวลาว่าง เลยทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมออกมาเข่งหนึ่ง ขนมยังคงอุ่นอยู่ ท่านเมิ่งจะกินแบบเพิ่งอบร้อนไปบางส่วนก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ออกจากเมืองหลวงไปทำงานจะพกติดตัวไปก็ได้ สามารถถนอมรสชาติได้นานถึงหกเจ็ดวันไม่มีปัญหา เวลาที่ท่านอยู่บนหลังม้าแล้วรู้สึกหิวหรือว่าอยากกิน ก็หยิบมากินแก้หิวแก้อยากได้ทุกเมื่อ” นางลูบศีรษะของน้องสาวพลางเอ่ยขึ้น…
“ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเป็นของโปรดของโม่เอ๋อร์ โม่เอ๋อร์บอกว่าขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเข่งหนึ่ง นางเก็บเองไว้ครึ่งหนึ่ง แบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่ง เรื่องเมื่อเช้านี้ ต้องขอบคุณที่ท่านเมิ่งให้ความคุ้มครอง และก็ต้องขอโทษท่านด้วย”
คิ้วหนาของเมิ่งอวิ๋นเจิงเลิกขึ้นสูง
ขอบคุณเรื่องเมื่อเช้า? ย่อมต้องขอบคุณเรื่องที่เขาลงมือสั่งสอนนักเลงสามคนที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงเอาไว้
ส่วนเรื่องที่ขอโทษ…คือเรื่องที่ดรุณีน้อยพูดจาไม่ยั้งคิด เปิดเผยเรื่องที่เขามารอกินโจ๊กทุกวัน แล้วยังกล่าวหาว่าเขามาขอกิน มากินโดยไม่จ่ายเงินต่อหน้าคนจำนวนมาก
ดังนั้นนางจึงรู้สึกผิด เข้าครัวทำขนมด้วยตนเอง แล้วให้น้องสาวนำมาส่งให้เขากับมือ? แต่ความจริงแล้วคนที่ควรรู้สึกผิดคือเขาต่างหาก เป็นเขาเองที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ก่อให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นเมื่อเช้า
ขอเพียงเป็นผู้มีสายตาอย่างไรก็ต้องดูออก ว่าภายใต้การบงการกึ่ง ‘กระตุ้น’ ของพี่สาว สาวน้อยส่งมอบตะกร้าขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมนี้ด้วยความหวงแหนอย่างมาก ครั้งนี้เมิ่งอวิ๋นเจิงจึงทำเป็นมองไม่เห็น ตอบกลับผู้อื่น “ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ไม่มีอะไรต้องขอโทษ แต่ต้องขอบคุณแม่นางโม่เอ๋อร์ที่ยินยอมเสียสละของโปรด”
ดรุณีน้อยความจริงเป็น ‘สิ่งเล็กๆ’ ศีรษะสูงเท่าเอวของเขา พอได้ยินเขาพูดคำว่า ‘เสียสละ’ ราวกับว่าตัวโม่เอ๋อร์เองถูกอะไรเฉือนเข้าเนื้อจริงๆ เครื่องหน้าทั้งห้าบูดเบี้ยวเหมือนได้รับความเจ็บปวด
เมิ่งอวิ๋นเจิงเห็นหญิงสาวผู้เป็นพี่สาวแสดงสีหน้าอย่างไม่อาจทำเช่นไรได้ ราวกับว่าทั้งโมโหและขบขัน แต่นางก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงลูบไล้ศีรษะและไหล่บางของน้องสาว ตีแก้มที่โป่งพองอย่างเบามือ ความอ่อนโยนเพิ่มพูนเท่าทวี
เขาลอบสูดหายใจเข้าออกลึกๆ พอผ่านไปสองลมหายใจแล้ว ค่อยหยิบกล่องแบนเล็กๆ ออกมาจากอก แล้วยื่นให้ “นี่คือของที่เมื่อเช้านำมาจะให้แม่นาง แต่ว่าข้าลืมให้”
เจียงหุยเสวี่ยช้อนตามองอย่างตกใจ “นี่คือ?”
เขากล่าวเสียงนุ่มนวล “ยาพอกทาแผลพุพอง สามารถรักษาแผลฟกช้ำดำเขียว ได้ยินท่านหมอบอกว่ามีสรรพคุณในการรักษาแผลเป็น”
“…แผลพุพอง?” นางถอนมือออกจากศีรษะของโม่เอ๋อร์ อดไม่ได้ที่จะกดมือลงบนแขนอีกข้างหนึ่ง
ภายในแขนเสื้อ แขนเล็กของนางมีผิวหนังบางส่วนยังคงบวมแดงและปวดแสบ เป็นแผลโดนลวกที่เมื่อวานไปแตะถูกหม้อเหล็กโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่กำลังทำโจ๊ก แผลมีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งฝ่ามือ แต่บาดแผลและความเจ็บปวดเช่นนี้ เมื่อใช้น้ำสะอาดล้างแล้วนางก็ไม่ได้ใส่ใจอีก จึงไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งยังไปหายาทาแผลมาให้นาง
ในเวลานี้ บรรดาเด็กที่เลิกเรียนการต่อสู้หลายคนยังคงอยู่ในลานเล็ก บ้างก็เข้ามาจูงมือโม่เอ๋อร์ บ้างก็เข้ามาเรียก…
“พี่สาวน้อย พี่สาวน้อย ทางนี้ ทางนี้! มาทางนี้!” พอเห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงหันไปตามเสียง เสียงเรียกนั้นก็ชะงักด้วยความลังเล ลดลงเป็นเสียงกระซิบ “มานี่…พี่สาวน้อยมาทางนี้…”
เป็นปั้งโถวหลานชายของตาเฒ่าเฉียว เด็กชายอายุยังไม่ครบแปดขวบ มีนิสัยประหลาดมาก ชอบมาชวนโม่เอ๋อร์ไปเล่นด้วยเป็นประจำ
ใบหน้าที่เหมือนล้อมด้วยเมฆทะมึนของโม่เอ๋อร์ยิ้มกว้างในทันที สองตาเป็นประกาย
สาวน้อยเงยหน้ามองดูพี่สาวก่อน พอเห็นพี่สาวยิ้มและพยักหน้าให้ โม่เอ๋อร์ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ทิ้ง ‘ความเจ็บใจ’ ที่ต้องแบ่งขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้นไว้เบื้องหลัง วิ่งก้าวเล็กๆ ไปหาปั้งโถวกับเด็กอีกไม่กี่คนที่อีกด้านหนึ่ง
พวกเด็กๆ ดูเหมือนกำลังจะเล่น ‘ทหารจับโจร’ จึงแบ่ง ‘กองกำลัง’ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว โม่เอ๋อร์ย่อมต้องเข้าไปสมทบกับปั้งโถว
เจียงหุยเสวี่ยถอนสายตากลับมาจากพวกเด็กๆ แล้วมองดูคนตรงหน้า สายตาของเขาจดจ้องมองนิ่งดุจแฝงความหมายลึกซึ้งใด ทำให้แก้มของนางอยู่ๆ ก็ร้อนผ่าวราวกับที่ตรงนั้นโดนลวก
นางขบคิดชั่วครู่ กลืนน้ำลาย ก่อนจะรวบรวมเสียงกลับคืนมา “…เมื่อเช้าท่านเมิ่งย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าลืมให้ยาทาแผลกล่องนี้ใช่หรือไม่ พอท่านมาก็พบว่ามีคนมาก่อเรื่องที่หน้าร้าน จึงไม่อาจไม่ออกหน้า ถูกหรือไม่”
ความจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นเจิงไม่ได้ลืมมอบยาให้ เพียงแต่พอเขาซ่อนยาทาแผลไว้ในอกแล้วเกิดลังเลขึ้นมา