แผลโดนลวกบนแขนของนางอยู่ใกล้กับข้อพับข้อศอก เมื่อวานเขามากินโจ๊ก นางเผลอพับแขนเสื้อขึ้นทำให้เขาสังเกตเห็น แต่นางไม่พูดถึง เขาจึงไม่อยากถามโดยตรง มิฉะนั้นจะดูเหมือนกับว่าเขาจับตามองนางอยู่ตลอดเวลา วันนี้เขาจึงตั้งใจนำยาทาแผลมาให้โดยเฉพาะ ในขณะที่เขายังไม่ทราบว่าควรจะให้ยาอย่างไรดี นางก็ออกไปทำงานยุ่งตัวเป็นเกลียวอยู่หน้าแผงขายโจ๊กแล้ว
เดิมเขาจากไปแล้วจริงๆ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุด นางได้รับบาดเจ็บแท้ๆ เขายังเอาแต่กลัดกลุ้มกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างจะมอบยาให้นางอย่างไรดี
จับตาดูนางอยู่แล้วอย่างไร เขาก็มองดูนางมาตลอดจริงๆ
คำถามที่นางถาม เขาไม่ได้ตอบ เพียงพูดนิ่งๆ ว่า “เก็บยาไว้เถิด พอกทาวันละสองครั้งลงบนแผลได้เลย ไม่ช้าก็จะหายดี”
ในที่สุดเจียงหุยเสวี่ยก็ยื่นมือออกไปรับกล่องยาทาแผลที่เขาให้มาถือไว้แน่น ค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ขอบคุณ…”
“อืม” เมิ่งอวิ๋นเจิงรับคำคราหนึ่ง มองดูผมหน้าม้าที่ปลิวไสวอยู่บนหน้าผากกับขนตาดำพริ้มงอนของนาง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อยากจะบอกนางว่าพรุ่งนี้เขาจะออกจากเมืองหลวง คงไม่ไปกินโจ๊กที่เรือนหมู่ อยากบอกนางว่าไม่ต้องรอเขา ขณะกำลังจะอ้าปาก พลันนึกได้ว่าบอกไปแล้ว
เขารู้ดีว่าได้บอกไปแล้ว แต่ก็ยังนึกห่วงอย่างไม่มีเหตุผล เขาไม่นึกมาก่อนว่าตนจะเป็นคนเรรวนเช่นนี้
เวลานั้น เขาไม่มีคำพูดใดจะกล่าว ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ทั้งที่ควรจะเอ่ยอำลาได้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังมีอะไรจะพูด ท่าทีเช่นนั้นทำให้สองเท้าของเขามิอาจขยับเขยื้อน ทำได้เพียงจ้องมองและรอคอยอย่างสงบนิ่ง
เป็นไปตามที่เขาคาด ตรงหน้าเขา หญิงสาวที่เดิมเอาแต่ก้มหน้าพูดพึมพำได้รวบรวมความกล้า เงยหน้าที่มีดวงตาฉ่ำน้ำแฝงแววเมฆหมอกขึ้นมา จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก แต่ก็คิดหาเหตุผลไม่ออก ทำได้เพียงถามออกมา เสียงอ่อนหวานนั้นฟังดูเอียงอาย…
“ข้ามีเรื่องที่ค้างคาในใจ อยากจะขอคำอธิบาย จึงมาเรียนท่านเมิ่งโปรดช่วยไขให้กระจ่าง”
เขานิ่งไป แววตาสุขุมนุ่มลึกดุจสายธาร “เชิญถาม”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเจียงหุยเสวี่ยลอบกำเป็นหมัดเล็กๆ หายใจเข้าแล้วพูด “ตั้งแต่ที่ร้านขายโจ๊กให้ชิมอาหารจนเปิดกิจการถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเวลาได้เดือนกว่าแล้ว ต้องขอบคุณท่านเมิ่งที่คอยสนับสนุน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ นั้นมีประโยชน์จริง และข้าก็รู้สึกว่าฝีมือของตัวเองถึงขั้นแล้ว เพียงแต่กินโจ๊กแบบเดิมอยู่ทุกวัน คนเราหากกินแต่รสชาติเดิมๆ จะเป็นของเลิศรสเพียงใดก็ต้องมีวันเบื่อบ้าง แต่ท่านยังคงมาที่เรือนหมู่ทุกวัน หรือท่านจะมาเพราะโจ๊กหนึ่งชามจริงๆ ไม่มีสาเหตุอื่นใด”
‘ชายผู้หนึ่งมาขอโจ๊กเจ้ากินทุกวัน เจ้าคิดว่าเขามาขอกินเพียงแค่อาหารเท่านั้นหรือ’
คำพูดของท่านยายเฉียวทำให้นางหัวหมุนตาพร่า แต่นางจะไม่คำนึงถึงก็ไม่ได้
‘เจ้าเด็กคนนี้ กลายเป็นแม่นางใหญ่อายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าใจ’
ก็ข้าไม่เข้าใจ!
นางคิดว่าตนเองขายโจ๊ก เขามากินโจ๊ก นางประกอบกิจการค้าขายเล็กๆ เขาก็เป็นลูกค้าที่มาอุดหนุน เรื่องราวไม่มีทางโปร่งใสมากไปกว่านี้แล้ว แต่พอคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด…ความจริงกลับไม่ธรรมดา
นางคาดเดาไม่ถูกและก็ดูไม่ออก จึงอดที่จะถามตามตรงไม่ได้ นางอยากทราบแน่ชัดถึงเจตนาของเขา แล้วรอให้ความจริงกระจ่าง จากนั้นนางก็จะได้…จะได้…นางก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรได้ แต่อย่างน้อยนางก็จะได้ไม่สับสนว้าวุ่นหรือละเมอเพ้อพกเพราะคำพูดของท่านยายเฉียว
เขาเหมือนถูกคำพูดของนางโจมตี
คิ้วรูปดาบหนาดกดำของเขากระตุกและเหยียดตรงดุจสันเขา แต่ไม่ช้าก็กลับสู่ท่าทีสำรวมดังเดิม
“แม่นางเจียงคิดว่าหากผู้แซ่เมิ่งไม่ได้มาเพื่อกินโจ๊ก แล้วมาเพื่ออะไร” เขาถามทำลายความเงียบด้วยคำถามเดิม
นางขบด้านในริมฝีปาก ฝืนใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยายเฉียวบอกว่าเรื่องเช่นนี้ ข้าที่เป็นสตรีไม่สะดวกจะออกปาก แต่ก็อยากไถ่ถามให้ชัดเจน จะได้ทราบแน่ชัดว่าหากท่านเมิ่งไม่ได้มาเพราะ ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ แล้วมาเพราะอะไร” นางก็ถามด้วยคำถามเดิมเช่นกัน ถามจนเลือดในผิวนางฉีดพล่าน เหงื่อผุดซึมทั่วร่าง ตัวร้อนจนไอเริ่มขึ้น
ตามด้วยความเงียบระหว่างทั้งสองอีกครั้ง แต่ว่าดวงตาของนางนิ่งและกระจ่างใส ไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตา แม้ว่าใจจะเต้นรัวราวกับจะกระดอนออกจากอก ปวดร้าวถึงเพียงนั้น นางยังคงมองเขาและเฝ้ารอคำตอบ