จากนั้นนางก็เห็นริมฝีปากเขาเผยอออกช้าๆ ได้ยินเสียงสุภาพราบเรียบของเขาพูดว่า… “ไม่ได้มาเพราะเหตุอื่น ข้ามาเพราะโจ๊กชามหนึ่งจริงๆ”
แก้วหูนางสั่นสะท้าน ห้องหัวใจก็สั่นสะท้าน ได้ยินเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง…
“ข้าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ไปรอกินโจ๊กที่ครัวเล็กทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง สร้างความสับสนให้แม่นางแล้วจริงๆ และเรื่องที่ท่านยายเฉียวชอบผูกสานวาสนาให้ผู้อื่น ทุกคนในตรอกซงเซียงล้วนทราบดี หากยายเฒ่าจะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก แต่ว่าผู้แซ่เมิ่งกลับไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ข้าย่อมไม่…ไม่ได้…” ริมฝีปากดุจขุนเขาเม้มเข้าหากัน พูดขึ้นอย่างใคร่ครวญ “อืม…ย่อมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยต่อแม่นาง ความรู้สึกที่ผู้แซ่เมิ่งมีต่อแม่นางนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างบุรุษและสตรี ข้ามาเพื่อโจ๊กชามเดียวไม่มีสิ่งใดแอบแฝง”
เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกเหมือนไฟที่พลุ่งพล่านใต้ผิวพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดบนศีรษะ ทำให้ศีรษะของนางพองโต นัยน์ตาปวดแปลบ ราวกับได้รับการตบแรงๆ หลายฝ่ามือจนเสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู ทั่วทั้งใบหน้าร้อนรุ่มไปหมด
มาถึงตอนนี้ นางค่อยรับรู้ถึงความในใจที่แท้จริงของตนเองเสียที
หลังจากการเลอะเลือนในครั้งนี้ นางรู้แล้วว่าใจตนเองโอบอุ้มความคาดหวังรอคอย คาดหวังอย่างลับๆ ว่าจะได้ยินคำตอบที่ต่างออกไปจากปากของเขา
และก็เป็นตอนนี้อีกเช่นกัน นางค่อยเข้าใจว่าโดยที่นางไม่ทันรู้ตัว…นางก็เห็นตนเองเป็นเช่นหญิงสาวธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
ไม่มีใครไม่อยากเป็นที่ชื่นชอบ เอาใจใส่ มองด้วยสายตาที่ชื่นชม แต่อารมณ์ความรู้สึกคลั่งแค้นในรักและโศกเศร้าเสียใจ ยังคงเป็นสิ่งที่มากเกินจำเป็นสำหรับเจียงหุยเสวี่ย
นางนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าตนมีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากพอแล้ว จะเอาปัญญาจากที่ไหนไปคิดเรื่องหาความสำราญใส่ตัวและกำกวมไม่ชัดเจนเช่นเรื่องระหว่างบุรุษกับสตรี
เมิ่งอวิ๋นเจิงกล่าวอย่างไม่ปิดบังและตรงไปตรงมา บอกให้ทราบอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว
ไม่ว่านางจะอายแทบทนไม่ได้ รู้สึกทั่วทั้งร่างร้อนผ่าวและเหน็บหนาวไขสันหลังเพียงใด แต่ก็คิดว่าทำให้นางรู้สึกเข็ดหลาบเช่นนี้ ยังดีกว่าเป็นเช่นอื่น
เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก็ดี
“อย่างนั้น…ข้าทราบแล้ว” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ความร้อนระอุในดวงตาเอ่อขึ้นอย่างไม่อาจสะกดกลั้น นางยิ่งต้องฝืนอดทนเอาไว้ แม้แต่ริมฝีปากยังคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนแสนจืดจาง “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านเมิ่งจะชื่นชมโจ๊กขาวห้าสหายที่ข้าทำถึงเพียงนี้ ข้าจะคงรสชาติเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทำให้ความชื่นชมของพวกลูกค้าเสียเปล่าแน่”
นางยิ้มขึ้นอีกครั้ง ไม่รอให้เขาตอบคำก็ย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความคารวะ แล้วหมุนกายมุ่งไปหาพวกเด็กๆ
แต่แล้ว…
“แม่นางเจียง ผู้แซ่เมิ่งไปเยือนทุกวันเพราะโจ๊กหนึ่งชาม หรือพูดอีกอย่างก็คือเพราะเจ้า”
อะไรนะ
นางชะงักฝีเท้าทันที แต่เพราะหยุดอย่างกะทันหัน ร่างกายครึ่งท่อนบนจึงส่ายโงนเงนเล็กน้อย
ทันใดนั้น นางก็หันกลับไป ชายที่เล่นงานนางกลับแบบไม่ทันให้ตั้งตัวยังคงท่าทีสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง นอกเสียจากแววตามีเงื่อนงำชวนให้คนขบคิด
ที่แท้เขาหมายความว่าอย่างไร เขาทำให้นางสับสนไปหมดแล้ว!
อาจเป็นเพราะสีหน้าที่ดวงตาของนางเบิกกว้างและจ้องมองโดยไม่กะพริบบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกในใจอย่างเด่นชัด ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม เขาก็พูดขึ้น “สมัยเด็กข้าตัวผอมแคระแกร็น ป่วยเป็นโรคกระเพาะและลำไส้ง่าย มักจะไม่ค่อยอยากอาหาร ตอนที่มารดาข้ายังมีชีวิตอยู่ นางมักจะทำโจ๊กสมุนไพรเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ข้า” มุมปากที่หนาและแข็งแรงเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและแฝงความโศกเศร้า “บิดาล้มป่วยและด่วนจากไป มารดาจึงเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่เพียงลำพัง บ้านในตรอกซงเซียงนั้นยากจนข้นแค้นถึงขั้นขัดสน ตอนนั้นเพื่อซื้อสมุนไพรมาทำโจ๊กบำรุงร่างกายให้ข้า มารดาข้าซักผ้าซ่อมแซมเสื้อให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นงานเหนื่อยยากเพียงใดก็ยอมทำ…”
เจียงหุยเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรเช่นนี้ ดวงตาที่จับจ้องแน่วแน่ของนางในที่สุดก็สั่นไหว “…นั่นเป็นเพราะมารดาท่านรักใคร่ทะนุถนอมท่าน นางรักท่านยิ่ง”
“ใช่” เขาพยักหน้า รอยยิ้มขรึมลง “นางเป็นเช่นนั้น”
เจียงหุยเสวี่ยพลอยพยักหน้าตาม เดิมนางคิดจะถามเรื่องสมัยเด็กของเขา ดวงตาดุจมุกของนางพลันชะงักไปราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “ท่านเมิ่ง…” นางหันกลับไปมองหน้าเขา “เมื่อครู่ท่านเพิ่งพูดว่า…บ้านในตรอกซงเซียงนั้นยากจนข้นแค้น แสดงว่าสมัยเด็กท่านเคยอาศัยอยู่ที่นี่?”
ใบหน้าที่มีเค้าโครงชัดเจนของบุรุษฉายแววประหลาด แต่ก็ยังพยักหน้ารับคำ “ใช่”
“ท่านเคยอยู่ที่นี่…ที่แท้เป็นเช่นนี้ ฉะนั้นท่านถึงได้เข้ากับพวกเด็กๆ ที่ท่านชี้แนะวิชาการต่อสู้ได้ดี เพราะท่านก็เติบโตมาในตรอกซงเซียงเช่นกัน…” นางพูดกึ่งอุทานกึ่งถาม มองไปทางกลุ่มเงาร่างเล็กๆ มีชีวิตชีวาเปี่ยมพลังที่อยู่ร่วมกับโม่เอ๋อร์