บทที่ 4
แม้ว่าจะเป็นปลายฤดูหนาวแล้ว ที่ชายแดนตะวันตกหิมะยังคงตกหนัก
บนภูเขาซวงอิง ลมพัดเหน็บหนาวเป็นพิเศษ ลมอ่อนๆ หอบเอาเกล็ดหิมะน้ำแข็งมาจับบนใบหน้าและร่างกาย ทำให้ปวดแปลบตามผิวหน้าและหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง แม้แต่ชนเผ่าที่เกิดและเติบโตมาในถิ่นนี้ก็ยังทนรับกับความทรมานจากหิมะที่ตกหนักและลมที่คลุ้มคลั่งเช่นนี้ไม่ไหว
“ใต้เท้าเมิ่ง ที่ที่สูงที่สุดบนภูเขาซวงอิงก็คือผาอิงจุ่ยแห่งนี้ หลายวันมานี้คนของพวกข้าค้นหาตลอดทางจนขึ้นมาถึงที่นี่ หาหลักฐานใดเพิ่มเติมไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนเรื่องของคน ข้าน้อยคิดว่าตั้งแต่การจับกุมโจรบนภูเขาเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ก็ได้กวาดล้างจับโจรบนภูเขาซวงอิงแห่งนี้จนสะอาดเกลี้ยง ไม่น่าจะมีอะไรให้จับอีก…เอ่อ ข้าน้อยคิดว่าตอนนี้คงต้องออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่า หิมะยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ใต้เท้าคิดเห็นเช่นไร”
เมิ่งอวิ๋นเจิงถอนสายตากลับมาจากที่ไกล พยักหน้าให้ผู้บังคับบัญชาทหารร่างหนาเตี้ยที่หนาวแข็งจนสองข้างแก้มกลายเป็นสีแดง “ลำบากท่านนายกองหลี่และพี่น้องทั้งหลายแล้ว ทุกท่านเชิญแยกย้ายกันก่อน ผู้แซ่เมิ่งขออยู่ต่ออีกสักครู่ เมื่อลงจากภูเขาซวงอิงไปยังป้อมปราการแล้ว จะเชิญทุกท่านให้กินอย่างดีกันสักมื้อ”
นายกองหลี่รีบโบกไม้โบกมือ “ข้าน้อยไม่ลำบากหรอก ผู้ที่เหนื่อยที่สุดคือใต้เท้าเมิ่งต่างหาก! ท่านเร่งรุดเดินทางมาจากเมืองหลวง ไม่แม้แต่จะหยุดพักกลางทาง แต่ตรงมายังภูเขาซวงอิงทันที มีความเคลื่อนไหวใดท่านก็เป็นคนออกเดินนำหน้า พวกข้าเพียงติดสอยห้อยตามท้ายท่านขึ้นมาเท่านั้น ความคิดก็มิต้องใช้ เพียงตามมาก็พอ ไม่ได้ลำบากอะไรจริงๆ อีกอย่างที่นี่เป็นพื้นที่ของข้าน้อย ไม่ว่าใต้เท้าจะเป็นมังกรที่แกร่งเพียงใด มีหรือจะสู้งูเจ้าถิ่นอย่างเรา หากจะมีการเลี้ยงอาหารดีๆ สักมื้อ ย่อมต้องให้พวกข้าออกหน้าสิ จะให้ใต้เท้าจ่ายทรัพย์ได้อย่างไรกัน”
นายกองหลี่ท่านนี้เป็นผู้บังคับบัญชาที่ทางราชวงศ์เทียนเฉาส่งให้มาประจำการยังป้อมปราการชายแดนแห่งนี้ ทหารในมือนอกจากจะมีชาวฮั่นจากจงหยวน* แล้ว ก็ยังรับชนชาวเผ่าในท้องถิ่นอีกจำนวนไม่น้อย ก่อนหน้านี้เมื่อไปบุกจับโจรที่ภูเขาซวงอิง พลทหารที่นายกองหลี่พามาก็ช่วยเหลือได้มาก ลดความกังวลให้เมิ่งอวิ๋นเจิงได้ไม่น้อย
ถ้อยคำที่เปิดเผยตรงไปตรงมาจนถึงหยาบโลนแสดงความสนิทสนมของนายทัพทำให้มุมปากเมิ่งอวิ๋นเจิงหยักยิ้ม เขาไม่ต่อความยืดเยื้อกับอีกฝ่าย เพียงกล่าวเสียงเบา “อย่างนั้นก็รบกวนนายกองหลี่แล้ว ทุกคนทนหนาวแข็งอยู่ข้างนอกมาตั้งสองคืน กลับไปก็ควรจะได้กินอาหารดีๆ กันสักมื้อ”
นายกองหลี่ก็ฉีกยิ้ม “ได้ ตกลงตามนี้ เช่นนั้นข้าน้อยขอพาคนกลับป้อมปราการไปก่อน จะได้ให้คนจัดเตรียมอาหารอุ่นสุราร้อนไว้รับรองท่านใต้เท้าเมิ่ง”
หนึ่งเค่อ ผ่านไป…
พลทหารกลุ่มเล็กบนผาอิงจุ่ยต่างแยกย้ายกันไปจนหมด เหลือเพียงเงาร่างสูงใหญ่ที่หยุดยืนนิ่งอยู่บนขอบผา
ลมอ่อนโชยมา พัดเอาเสื้อคลุมบนไหล่ของเขาโบกสะบัด ขาของเขาราวกับรากต้นไม้ที่งอกและหยั่งลึกอยู่ตรงนั้น ลำตัวที่แข็งแรงกำยำยืนหยัดราวต้นสน และโดดเด่นเป็นสง่าเฉกเช่นหินผาบนภูเขา
เขามาสืบค้นภูเขาซวงอิงอีกครั้งในครานี้ ความจริงเป็นเพราะในใจมีข้อข้องใจที่ยังไขไม่กระจ่าง
เรื่องที่มีโจรมาซ่องสุมในภูเขาเมื่อหลายเดือนก่อน โจรโฉดที่ใช้ภูเขาซวงอิงเป็นรังกบดานนั้นชั่วช้าอย่างยิ่งแม้ตายไปก็ไม่ควรค่าแก่การเวทนา แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เขามาเป็นเพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณถูกคนวางยาพิษ
ครั้งนั้นเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง มู่เจิ้งหยางล้วนพึ่งกำลังภายในอันลึกล้ำระงับพิษในร่างเอาไว้ อดทนจนท่านหมอชรามาถึง จากนั้นก็ฝังเข็มอยู่หลายครั้งเพื่อขับพิษออกมาจำแนกแยกแยะ ลองผิดลองถูกหลายครั้งกว่าจะทำยาถอนพิษที่ถูกขนานออกมาได้
มู่เจิ้งหยางบอกว่าแม้ชีวิตจะปลอดภัยดีแล้ว แต่ก็ได้รับบาดเจ็บถึงแก่น กำลังภายในบอบช้ำสาหัส จำเป็นต้องสำรวมจิตใจเพื่อพักฟื้น นี่ก็คือสาเหตุที่มู่เจิ้งหยางวางมือจากหน้าที่มือปราบเทวดาในวัยกลางคนและกลับไปพักฟื้นอย่างสงบสุขในเมืองหลวง
เมื่อรับสืบทอดภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงและป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลอันเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมไม่เห็นแก่ตนที่อาจารย์ส่งต่อมาให้แล้ว เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ตามสืบสาวต้นตอจากผู้วางยาพิษต่อไป