เขาออกมาทำงานจึงกินดื่มอย่างง่ายมาตลอด เมื่อเช้าได้กินอาหารและผลไม้แห้งกับดื่มน้ำอีกนิดหน่อย ส่วนตอนเที่ยงเขาอดมาตลอด หนึ่งเป็นเพราะงานยุ่ง สองเป็นเพราะถ้าจะกินก็มีแต่อาหารเช่นนั้น จืดชืดไร้รสชาติ ผลก็คือหิวจนท้องเริ่มประท้วง
เขาสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายที ในที่สุดมือที่แตะหน้าท้องอยู่ก็เลื่อนเข้าไปในอกเสื้อ หยิบห่อผ้าขนาดเล็กออกมา
ตัวห่อผ้าเป็นผ้าเนื้อขาวที่พับไว้เป็นชั้น นิ้วเรียวยาวกางห่อผ้าออกมาสี่มุมเผยให้เห็นของที่ถูกห่อเอาไว้อยู่ข้างใน
ก้อนขนมที่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมมีสีน้ำตาลเจือสีแดงเข้ม กลิ่นของน้ำตาลทรายที่ผสานเป็นเนื้อเดียวกับพุทราสีแดงรวมกับกลิ่นของน้ำผึ้งอาจไม่หอมเท่าตอนเพิ่งออกจากเตา แต่ก็ยังคงหอมแตะจมูก ชวนให้ผู้คนน้ำลายสอจากโคนลิ้น
ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมชิ้นนี้เป็นของที่หญิงสาวทำเองกับมือและเอามาส่งให้เขาด้วยตัวเอง ซึ่งสุดท้ายถูกศิษย์น้องแย่งไปทั้งตะกร้า
หลังจากศิษย์น้องได้ชิมชิ้นเล็กๆ ไปแล้ว ก่อนจะโยนให้พี่น้องชาวหน่วยประตูหกบานเอาไปแย่งกันกิน ศิษย์น้องก็ใช้ผ้าขาวในตะกร้าหยิบขนมแป้งนึ่ง ‘ติดมือ’ ออกมาห้าชิ้น ภายหลังพอเห็นเขาอารมณ์ไม่สู้ดี จึงได้ส่งมอบ ‘ของโจร’ ออกมา
ศิษย์น้องก้มหน้าสำนึกผิด แต่แล้วก็ถามพลางหัวเราะคิกคัก…
“ที่ศิษย์พี่อารมณ์ไม่ดี เป็นเพราะขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้น? หรือว่าเป็นเพราะรู้สึกเหมือนได้บั่นทอนสินน้ำใจของผู้อื่น?”
เงาร่างของแม่นางผู้นั้นที่หันไปเรียกน้องสาวให้กลับไปด้วยกัน ยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา ทำให้เขานึกถึงอยู่บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนคำถามที่ศิษย์น้องถาม เขาเม้มปากไม่ตอบคำ เพียงขมวดคิ้วจ้องอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มแฉ่งเขม็ง จนทำให้ศิษย์น้องวิ่งหนีไป
ก่อนจะวิ่งจากไปศิษย์น้องยังไม่ลืมพูดตบท้ายว่า…
“ศิษย์พี่วางใจได้ แม้ท่านจะออกไปทำงาน แต่กิจการร้านโจ๊กของแม่นางเจียงพวกข้าพี่น้องชาวหน่วยประตูหกบานจะดูแลให้เป็นอย่างดี ไม่ให้ใครมารังแกนางได้!”
โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ลมพัดผ่าน อีกทั้งด้วยความสามารถของศิษย์น้อง เพียงสืบดูภายในตรอกซงเซียง ก็สามารถสืบจนทราบได้ว่าแม่นางผู้นั้นชื่ออะไร บ้านอาศัยอยู่ที่ใด
เขาไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่มีศิษย์น้องและพี่น้องชาวหน่วยประตูหกบานช่วยดูแลแทนย่อมเป็นเรื่องดี
เขาไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษกับแม่นางผู้นั้น เพียงเห็นว่านางมาอยู่อาศัยในบ้านเก่าเขา ทั้งยังเปิดแผงขายของเพื่อหาเลี้ยงตนเองกับน้องสาวตั้งแต่อายุยังไม่ครบสิบหกดี จึงอยากจะช่วยดูแลสักหน่อย
วันที่เขามาเห็นนางง่วนทำงานอยู่ในครัวที่บ้านเก่านั้น เป็นเช้ามืดของวันถัดมาหลังจากที่เขาเพิ่งปฏิบัติภารกิจในต่างเมืองเสร็จและกลับมายังเมืองหลวง
คดีฆ่าหั่นศพลูกโซ่ที่กระจายอยู่ในหลายมณฑลและปิดคดีได้ภายใต้เงื้อมมือเขาในครั้งนั้น พบศพสภาพไม่สมบูรณ์ทั้งหมดสิบเก้าศพ มีครบทุกเพศทุกวัย บนร่างของศพเด็กหลายศพมีร่องรอยการถูกนำไปต้ม ซึ่งวิธีการฆ่าของผู้ร้ายนั้นช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก
เขาตามรอยอีกฝ่ายเป็นเวลาสามเดือน หลายครั้งที่คดีคืบหน้าเข้าใกล้ความจริง แต่คนกลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์กลับหลุดรอดจากร่องนิ้วมือไปได้ อีกฝ่ายฉลาดหลักแหลมมาก แต่เขาก็ไม่ได้ตกเป็นรอง รีบปล่อยข่าวเสียใหญ่โตทำทีว่าจะจับกุม และผลจากการทำทุกอย่างนี้ ก็เพื่อบีบต้อนให้คนผู้นั้นหนีขึ้นไปยังชายแดนทางเหนือ
ที่ชายแดนทางเหนือ เขาลอบติดต่อกับชนเผ่าในชายแดน แล้วโจมตีกระหนาบหน้าหลัง สุดท้ายก็ตัดสินลงทัณฑ์โจรโฉดในที่นั้น
ทุกครั้งที่เขาปฏิบัติงานในต่างเมืองสำเร็จลุล่วงและกลับมายังเมืองหลวง ในใจเขาจะมีความรู้สึกที่แปลกแยกออกไป
ใต้ฝ่าเท้าของโอรสสวรรค์ มีแต่ความคึกคักครื้นเครง เจริญรุ่งเรือง การร้องรำทำเพลงเฟื่องฟู เทียบกับการกระทำอันโหดเหี้ยมอำมหิตและเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายที่เขาได้พบเจอมา ช่างเป็นสภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใจของเขามักจะแปรปรวนสลับไปมาระหว่างสองฝั่งนี้ บางครั้งก็ปรับเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน โดยเฉพาะเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจากการเผชิญกับความแตกต่าง
วันนั้นหลังจากเข้าวังไปรายงานต่อฮ่องเต้แล้ว เขายังไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ผู้มีพระคุณและศิษย์น้องที่จวนสกุลมู่ อาจารย์ให้เขาอยู่กินมื้อเย็น ดึกมากกว่าเขาจะได้กลับไปยังจวนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้
พ่อบ้านชราที่คอยดูแลจวนให้เขาก็เป็นคนของจวนสกุลมู่ รู้จักกับเขามานานหลายปี แม้เขาจะออกจากเมืองหลวงบ่อยครั้ง แต่ก็จัดการเรื่องใหญ่น้อยต่างๆ ในจวนได้เรียบร้อยดี พ่อบ้านชราจัดการดูแลให้เขาได้อาบน้ำดีๆ ไปรอบหนึ่ง เขาคิดว่าจะหลับให้เต็มที่สักตื่น ขณะนอนอยู่บนฟูกที่นุ่มและสะอาดบนเตียงยาว เขาดูเหมือนจะหลับไปแล้ว แต่ในจมูกยังได้กลิ่นเหม็นรุนแรงของกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อเน่าเปื่อยจากศพ
ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่มีภาพบางอย่างยังคงติดตา หลับตาลงก็จะมองเห็น ทำให้พลอยรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นไปด้วย