บทที่ 1 พบกันโดยบังเอิญ
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศปลอดโปร่งสดชื่น กระทั่งท้องฟ้าดูแล้วยังกว้างไกลเป็นพิเศษ
รถม้าคันเล็กธรรมดาๆ คันหนึ่งวิ่งกึกกักผ่านเส้นทางบนเขาหลังฝนตก คนบังคับรถม้าเป็นเด็กหนุ่มผู้มีคิ้วหนาตากลมโต มองดูมีชีวิตชีวาเปี่ยมด้วยพลัง เขาสังเกตเห็นว่าเส้นทางบนเขาเบื้องหน้านั้นมีต้นพุทราป่าออกผลเต็มไปหมดอยู่ต้นหนึ่ง ดวงตาพลันสว่างวาบ อยากกินจนน้ำลายไหลทันใด
พอเขาอ้าปากก็เอ่ยว่า “ท่านแม่ทะ…”
“แค่กๆ” ในรถม้ามีคนกระแอมกระไอ ฟังออกมาเป็นเสียงของสตรี
“คุณหนู…” เด็กหนุ่มแก้ไขคำเรียกขานทันควัน
“หนานชิว นี่พวกเราออกมานานเท่าไรแล้ว เหตุใดเจ้ายังไม่เปลี่ยนคำเรียกอีกเล่า” ผ้าม่านรถม้าถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหญิงงามแลดูบอบบางอ่อนแอ พูดจาต่อว่าเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงหวานหยด
จ้าวหนานชิวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ หันหน้าไปมองหญิงงามในรถม้าแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับมาประหนึ่งกลัวว่าจะมีอะไรบาดตาก็ไม่ปาน
“คุณหนู ท่านก็พูดดีๆ สิขอรับ”
หญิงงามถอนหายใจเบาๆ พลางยกมือเท้าคาง ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “ตอนนี้ถึงที่ใดแล้ว”
“ผ่านเขาลูกนี้ไปก็น่าจะเป็นตำบลไป๋หลี่แล้ว” จ้าวหนานชิวทนรับอีกฝ่ายในสภาพหญิงงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ไม่ค่อยได้เท่าไรนัก จึงตอบกลับด้วยความรู้สึกอึดอัดไปหมด
หญิงงามกะพริบตาปริบๆ แล้วผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงในบัดดล “หนานชิว หยุดรถ”
จ้าวหนานชิวได้ยินดังนั้นก็ดึงสายบังเหียนทันที ในขณะเดียวกันยังเหลียวมองรอบข้างด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพมีอะไรหรือ”
“ไปเด็ดพุทรามากินหน่อยสิ” หญิงงามชี้ไปยังพุทราป่าชวนน้ำลายสอข้างทางต้นนั้นก่อนจะถอนหายใจ “อีกอย่างบอกไม่รู้กี่รอบแล้ว อย่าเรียกท่านแม่ทัพ ต้องเรียกคุณหนูต่างหาก”
เพิ่งสิ้นเสียงของนาง ตัวคนก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าเพลารถม้ายันตัวกระโดดลงไปอย่างอดใจรอไม่ไหว ชายกระโปรงยาวพลิ้วไสวตามแรงลม การเคลื่อนไหวปราดเปรียวสง่างาม แต่ไม่มีกิริยาท่าทางอย่างที่คุณหนูในห้องหอพึงมีแม้แต่น้อย
จ้าวหนานชิวถลึงตามองอย่างตกตะลึงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็อยากกินพุทราป่าเช่นกันจึงรีบเดินตามไป
พุทราป่าทั้งกรอบทั้งหวาน คนทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นพุทราเด็ดไปกินไป เคี้ยวเสียงดังกร้วมๆ อย่างสุขใจเหลือหลาย
“พุทราป่านี้หวานอร่อยจริงๆ พวกเราเด็ดไปกินระหว่างทางกันสักหน่อยเถอะขอรับ” จ้าวหนานชิวเด็ดไปพลางยัดเข้าปากจนกระพุ้งแก้มบวมตุ่ย กินไปกินมาก็รู้สึกขมขื่นเสียเต็มประดา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนพุทราป่าพรรค์นี้ไม่อยู่ในสายตานายหญิงน้อยอย่างข้าหรอก…” จ้าวหนานชิวที่แต่งกายเช่นเด็กหนุ่มในชุดแขนสั้นสีครามเอ่ยคำว่านายหญิงน้อยออกมาโดยไม่รู้สึกว่าขัดแย้งกันเลยสักนิด
หญิงงามกัดพุทราเนื้อกรุบกรอบคำหนึ่งแล้วหัวเราะ เอ่ยเปิดโปงนางอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อก่อนต้นพลับในค่ายต้นนั้นก็เห็นเจ้ากินไปไม่น้อย เสี่ยวจิ่วยังร้องไห้วิ่งไปฟ้องกับอดีตหัวหน้าค่ายบอกว่าลูกพลับยังไม่ทันสุกก็ถูกเจ้าเด็ดไปเกลี้ยงแล้ว”
“ลูกพลับก็เด็ดกันตอนใกล้สุกแล้วปล่อยให้ค่อยๆ สุกทั้งนั้นไม่ใช่หรือ รอจนสุกงอมคาต้นก็เสียเปรียบนกบนเขาพวกนั้นพอดีสิ” จ้าวหนานชิวตอบกลับอย่างฉะฉานแล้วก็เบะปากขึ้นมาอีก “ถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีนั่นไล่ตามพวกเราไม่ยอมเลิกรามาตลอดทางเหมือนหมาใน พวกเราก็คงไม่ต้องมีสภาพทุลักทุเลถึงขั้นนี้”