บทที่ 3 ความฝัน
พอท่านแม่ซูเดินออกมาก็ประสานกับสายตาหลายคู่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เหตุใดถึงมามุงกันอยู่ตรงนี้! ออกไปเลย ออกไป อย่ามารบกวนเสี่ยวหม่านพักผ่อน!”
“ท่านแม่ มีแค่พี่รองที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่าน พวกเราได้ท่านเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่” ซูเทียนตงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นถามอย่างจริงจัง
“ใช่แล้วๆ เก็บมาจากใต้สะพานใหญ่ตรงถนนข้างหน้านั่นอย่างไรเล่า” ท่านแม่ซูแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วหันไปถลึงตาใส่บุตรชายคนโต “ไหนเจ้าลองว่ามา เสี่ยวหม่านเพิ่งฟื้น เจ้าก็รีบร้อนซักไซ้นาง มีใครที่ใดเขาเป็นพี่ใหญ่อย่างเจ้าบ้าง!”
ซูเจ๋อหลันลูบจมูกป้อยๆ
ท่านแม่ซูยังหันหน้าไปมองท่านพ่อซู ถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “เมื่อครู่ท่านจับชีพจรให้เสี่ยวหม่าน นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“เลือดลมพร่อง ร่างกายอ่อนแอนิดหน่อย จะต้องรักษาตัวให้ดีๆ”
“นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรือไร ตอนเสี่ยวหม่านถูกพาตัวกลับมาจากใต้หน้าผาก็แทบจะเป็นมนุษย์โลหิตแล้ว บนร่างไม่มีผิวหนังส่วนใดไร้รอยแผล…” พูดไปพูดมาท่านแม่ซูก็ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาอีก “เจ้าพวกโจรภูเขาสารเลวฝูงนั้นสมควรถูกกวาดล้างแล้ว!” นางยังย้ำเตือนท่านพ่อซูกับลูกๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามถามเสี่ยวหม่านอีก เสี่ยวหม่านของข้าน่าสงสารมากพอแล้ว ไม่ต้องให้นางย้อนคิดถึงเรื่องน่ากลัวพวกนั้นแล้ว”
“ท่านแม่ เรื่องอื่นจะไม่ถามก็ได้ แต่เรื่องที่เสี่ยวหม่านขึ้นเขาลึกไปคนเดียวอย่างไรก็ต้องถามให้รู้เรื่อง นางไม่ใช่คนนิสัยกล้าหาญไม่กลัวอะไรเช่นนี้…”
“เจ้าก็บอกแล้วว่านางไม่ใช่คนกล้าหาญไม่กลัวอะไรเช่นนี้ ยังจะถามอะไรอีก!” ท่านแม่ซูถลึงตาใส่เขาพลางพูด “เรื่องนี้พอแค่นี้ล่ะ ใครก็ห้ามพูดถึงต่อหน้าเสี่ยวหม่านอีก!”
ท่านแม่ซูเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร ลั่นวาจาตัดสินใจเฉียบขาด ซูเจ๋อหลันพยักหน้าอย่างจนใจ “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”
ภายในห้องจ้าวฉงอีนอนมองมุ้งเตียง ฟังเสียงพูดคุยข้างนอกที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ความจริงเสียงของพวกเขาเบามากแล้ว แต่ว่าจ้าวฉงอีเป็นผู้ฝึกยุทธ์ โสตประสาทย่อมดีกว่าผู้อื่นสักหน่อย จึงได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง…
ข้าหน้าตาเหมือนแม่นางซูผู้นั้นถึงเพียงใดกันนะ กระทั่งมารดาผู้รักทะนุถนอมนางปานนั้นยังแยกตัวจริงตัวปลอมไม่ออก
ข้างนอกเงียบสงบลงแล้ว จ้าวฉงอียกมือขึ้นลูบคลำแก้มตนเอง ราวกับว่าสัมผัสอันอ่อนโยนแต่แห้งกร้านจากมือของท่านแม่ซูที่เพิ่งลูบแก้มตนเองนั้นยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า เรื่องนี้สำหรับนางแล้ว…ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่โดยแท้
ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครลูบแก้มนางด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอมถึงเพียงนั้นและบอกนางว่าไม่ต้องกลัวมาก่อน เพราะว่าในสายตาคนทั้งหลาย นาง…จ้าวฉงอีสมควรเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน
นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมที่จ้าวอวิ๋นจู่ให้ความสำคัญที่สุด เป็นหัวหน้าใหญ่ของค่ายลั่วเยี่ยน เป็นแม่ทัพใหญ่ของฮ่องเต้ นางจะกลัวได้อย่างไรกันเล่า…
หลังท้องอิ่มก็เผชิญกับความง่วงถาโถมเข้าใส่ จ้าวฉงอีดิ้นรนเล็กน้อยอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ทว่าการพลัดตกลงมาจากหน้าผาสูงปานนั้นก็มิใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ ต่อให้ร่างกายนางแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็เป็นร่างที่มีเลือดเนื้อ ความเหนื่อยล้าและความอ่อนเพลียที่กรีดร้องอยู่ข้างในทำให้นางล้มเลิกการต่อต้าน สุดท้ายก็จมดิ่งลงในภวังค์ยามหลับฝันอันสับสนงุนงง
จ้าวฉงอีฝันเห็นบางสิ่งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานแล้ว
บนถนนสายใหญ่ที่ไม่นับว่าคึกคักมากนัก ภาพเหตุการณ์บนถนนขมุกขมัว เด็กหญิงรูปร่างผอมบางดูอ่อนแอไร้ทางสู้เดินโซซัดโซเซติดตามสตรีนางหนึ่งที่มีผิวพรรณสีออกเหลือง
“ถังหูลู่จ้า ถังหูลู่ทั้งหอมทั้งหวาน…” ริมถนนมีคนกำลังร้องเร่ขายของ
เด็กหญิงมองถังหูลู่เคลือบน้ำตาลแวววาวเหล่านั้นตาปริบๆ นางกลืนน้ำลาย ทว่าสองเท้ากลับไม่กล้าเชื่องช้าลงเลยสักนิดเดียว แต่จู่ๆ สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นั้นก็หยุดฝีเท้าลง นางควักถุงเงินออกมาซื้อถังหูลู่หนึ่งไม้แล้วส่งให้เด็กหญิง