บทที่ 4 ค้นพบอะไรบางอย่าง
สามีภรรยาสกุลซูเปิดโรงแพทย์แห่งหนึ่งที่ตำบลตงหลีก็นับว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง สกุลซูมีบุตรทั้งหมดสี่คน บุตรชายคนโตซูเจ๋อหลันเป็นบัณฑิตที่มีอัธยาศัยค่อนข้างดี บุตรสาวคนรองซูเสี่ยวหม่านนิสัยอ่อนโยนขี้กลัว ติดตามบิดาเรียนรู้วิชาแพทย์จนมีฝีมือพอใช้ได้ บุตรชายคนเล็กซูเทียนตงกับบุตรสาวคนเล็กซูปั้นซย่าเป็นคู่แฝดมังกรหงส์ ตอนนี้ต่างเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาซือสู ในตำบล ครอบครัวนี้มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งชื่อยายเฒ่าเฝิง
เพียงช่วงเวลาอาหารเย็น จ้าวฉงอีก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ของสกุลซูได้กระจ่างแล้ว
ท่านแม่ซู จ้าวฉงอี และคู่แฝดมังกรหงส์กินอาหารเย็นร่วมกัน เพราะอาการบาดเจ็บของคนที่ถูกส่งตัวมาเมื่อตอนพลบค่ำสาหัสเกินไป ต้องจัดการรักษาบาดแผล ท่านพ่อซูจึงกำลังยุ่งอยู่ที่เรือนหน้า ซูเจ๋อหลันก็รั้งอยู่ที่นั่นคอยช่วยเหลือ
“คนผู้นั้นช่างหน้าตาดีจริงๆ นะ” หลังดื่มน้ำแกงอุ่นๆ ไปคำหนึ่งซูปั้นซย่าก็ทอดถอนใจถึงคนเจ็บที่ถูกส่งตัวมาตอนพลบค่ำผู้นั้น
“ความคิดตื้นเขิน” ซูเทียนตงวิจารณ์
“เทียนตง เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้ล่ะ เจ้าอิจฉาริษยาที่ผู้อื่นเขาหน้าตาดีกว่าเจ้ากระมัง!” ซูปั้นซย่าส่งเสียงฮึดฮัดคำหนึ่งพลางพูด
“…ข้าขอเตือนสติเจ้านะ พวกเราหน้าตาเหมือนกัน” ซูเทียนตงเหลือบมองนางอย่างพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ซูปั้นซย่าได้ยินเข้าก็สำลัก นางยังหันหน้าไปมองจ้าวฉงอี “พี่รอง ท่านก็มองเห็นสินะ? คนผู้นั้นหน้าตาดีมากเลยใช่หรือไม่”
จ้าวฉงอีคิดทบทวนถึงรูปลักษณ์ของบุรุษผู้นั้นครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่ “หน้าตาดีจริงๆ”
“เจ้าดูสิ พี่รองก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน!” ซูปั้นซย่าหันขวับไปทางซูเทียนตง ท่าทางราวกับได้รับชัยชนะ
ซูเทียนตงคร้านจะสนใจนาง ถึงแม้จะเป็นคู่แฝดมังกรหงส์ แต่เขามักรู้สึกว่าระดับสติปัญญาของตนเองกับซูปั้นซย่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก อาจเป็นเพราะตอนอยู่ในครรภ์มารดาได้รับจัดสรรมาไม่เท่ากัน เขาเฉลียวฉลาดเกินไป เลยส่งผลให้ซูปั้นซย่าเกิดมาเป็นเหมือนคนโง่อย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ซูเทียนตงจึงตัดสินใจว่าจะไม่ถือสาหาความนาง
“ท่านแม่…ท่านดูเทียนตงสิ เขามองข้าด้วยสายตาแปลกๆ อีกแล้ว!” ซูปั้นซย่าถูกเขามองด้วยสายตาแปลกพิลึกจนขนลุก กล่าวฟ้องมารดาอย่างโมโห
ซูเทียนตงถอนสายตาเวทนาในสติปัญญาของนางกลับมา ก้มหน้ากินข้าว ทำท่าทางข้าเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ เลิกเถียงกันได้แล้ว กินข้าว!” ท่านแม่ซูยื่นคำขาดแล้วคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งใส่ชามของจ้าวฉงอีอีกครั้งพลางเอ่ยด้วยความรักและเมตตา “ร่างกายเสี่ยวหม่านยังไม่แข็งแรง กินให้มากหน่อย”
จ้าวฉงอีมองอาหารในชามที่ถูกวางสุมเป็นกองสูงแวบหนึ่ง “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ซูตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หลุดหัวเราะ “กับแม่จะมาเกรงใจอะไรเล่า”
ทางฝั่งนี้เป็นภาพมารดาเมตตาบุตรสาวกตัญญู ส่วนโต๊ะอาหารอีกฝั่งหนึ่งซูปั้นซย่าขยิบตาให้ซูเทียนตง ลอบกระซิบกระซาบคุยกัน
“เจ้าพูดถูก พวกเราอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านแม่”
ซูเทียนตงคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งให้นางเงียบๆ
ซูปั้นซย่ารู้สึกพอใจขึ้นแล้ว “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกเราจะใช่หรือไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านแม่ แต่เจ้าต้องเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้าแน่นอน”
“…”
ซูเทียนตงอยากจะคีบซี่โครงหมูกลับมาเสียเลย แต่ลองคิดๆ ถึงสติปัญญาของนางก็ช่างเถิด ถือว่าเขาติดค้างนางแล้วกัน!