บุรุษผู้นั้นหลุบตาลงแล้วค่อยๆ เอนกายตามการพยุงของนางอย่างเหนื่อยอ่อน ทว่าดูเหมือนจะกระเทือนถึงบาดแผลโดยไม่ทันระวัง เขาสะดุ้งเบาๆ ราวกับเกิดการตอบสนองสะท้อนกลับ พอมือของเขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงจ้าวฉงอีที่ไม่ได้ตั้งตัวลงมาด้วย
จ้าวฉงอีพอถูกเขาฉุดก็ล้มทับบนตัวเขาทันที
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่!” ในตอนนี้เองเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวด้วยความตกใจปนสงสัยของท่านพ่อซูก็ดังมาจากนอกประตู
ประกายเย็นเยียบในดวงตาบุรุษผู้นั้นเลือนหายวูบ มือที่กำลังยกป้อแป้ไปตรงท้ายทอยนางชะงักเบาๆ แล้วทิ้งลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง
จ้าวฉงอีรีบร้อนลุกขึ้น หันหน้ากลับไปมองก็เห็นท่านพ่อซูกำลังยืนโมโหเดือดดาลอยู่หน้าประตู
“ข้าแค่จะพยุงเขานอนลง ไม่ทันระวังเลยเท้าลื่นนิดหน่อย” จ้าวฉงอีย้อนคิดถึงท่าทางที่ย่ำแย่ไปสักหน่อยเมื่อครู่ จึงรีบอธิบายออกไปประโยคหนึ่ง เห็นสีหน้าท่านพ่อซูยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนักก็กล่าวเสริมว่า “เขาตัวค่อนข้างร้อนเจ้าค่ะ”
พอท่านพ่อซูได้ยินดังนั้น สุดท้ายแล้วผู้เป็นหมอมีหัวใจดั่งบิดามารดรก็มองข้ามความโกรธไปชั่วคราว เร่งเดินเข้ามาในห้องแล้วช่วยจับชีพจรให้บุรุษที่นอนอยู่บนเตียง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จ้าวฉงอีถาม “เมื่อครู่เขาบอกว่าปวดศีรษะมาก ตามเนื้อตัวก็ปวด ทั้งยังไม่ค่อยมีแรง”
“ก็ทั้งถูกดาบฟันทั้งถูกพิษ ฟื้นขึ้นมาได้ก็เก่งแล้ว” ท่านพ่อซูตอบอย่างหงุดหงิด
“ถูกพิษ?” จ้าวฉงอีตะลึงงัน “เขายังถูกพิษด้วยหรือ”
“อืม ไม่ใช่พิษหายากอะไรหรอก หลังจากถูกพิษร่างกายจะอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ในตรอกเริงรมย์การสั่งสอนสตรีที่ไม่เชื่อฟัง…แค่กๆๆ…” เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่สมควรต่อหน้าบุตรสาว ท่านพ่อซูก็รีบหยุดชะงักกลางคันแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เอาเป็นว่าการถอนพิษยุ่งยากเล็กน้อย ไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนคงขจัดออกไม่หมดหรอก”
จ้าวฉงอีย่อมฟังเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเติบโตมาในค่ายโจร ภายหลังเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มองนางเป็นสตรีคนหนึ่ง คำพูดหยาบคายลามกที่สมควรและไม่สมควรฟังล้วนเคยผ่านหูมาหมด นางเหลือบมองบุรุษที่ใบหน้าขาวซีดหลุบตาลงไม่เอ่ยคำใดตรงหน้าอย่างเห็นใจอยู่บ้าง…
พิษชนิดนี้ค่อนข้างชั่วร้ายจริงๆ ทั้งยังดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว
“ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านพ่อซูขมวดคิ้วถาม
เพราะรู้อยู่แล้วว่าซูเสี่ยวหม่านติดตามท่านพ่อซูร่ำเรียนวิชาแพทย์และคอยช่วยงานในโรงแพทย์มาตลอด จ้าวฉงอีจึงตอบอย่างใจเย็น
“เมื่อวานข้าเห็นคุณชายท่านนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก เป็นห่วงว่าตกกลางคืนเขาจะตัวร้อน ก็เลยมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยที่ตามท่านพ่อซูเข้ามาด้วยเผยสีหน้าละอายใจและเลื่อมใสออกมาทันใด “สมกับเป็นศิษย์พี่หญิง อาจารย์มอบหมายให้ข้าเฝ้ายามกลางคืน ข้ากลับเผลอหลับไปเสียได้…”
ท่านพ่อซูเหลือบมองศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยที่ยืนคอตกก่อนเอ่ยว่า “ไปคัดตำรา ‘จินกุ้ย’* สิบจบ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยรับคำด้วยสีหน้าระทมทุกข์ “ขอรับ”
ท่านพ่อซูหันกลับไปมองจ้าวฉงอี หัวคิ้วขมวดมุ่น “เจ้าบาดเจ็บน้อยกว่าเขาหรือไร ต้องให้เจ้ามากังวลเช่นนี้หรือ กลับห้องไปพักผ่อนเลย!”
จ้าวฉงอีตอบรับอย่างเชื่อฟัง หมุนกายเตรียมเดินจากไป ปรากฏว่าชายเสื้อกลับถูกดึงไว้ นางหยุดชะงักในพริบตา มองไปทางบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง มือของเขากำลังดึงชายเสื้อของนาง เนื่องจากถูกพิษ พละกำลังของเขาจึงแทบไม่เหลืออยู่เลย พอมองใบหน้านั้นของเขาแล้วจ้าวฉงอีก็ไม่อาจมองข้ามไปได้ จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไป”
บุรุษผู้นั้นกะพริบตาช้าๆ “เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บหรือ”
จ้าวฉงอีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าตัวเขาเองบาดเจ็บถึงเพียงนี้กลับยังเป็นห่วงนางด้วย จึงตอบกลับด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ท่านพักผ่อนให้ดี เอาไว้ข้าจะมาหาท่านอีก”
บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น?