เมื่อหันหน้ากลับไปมองคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง สายตาก็เผยความระแวดระวังเต็มเปี่ยม ประหนึ่งว่ามองเห็นภัยพิบัติกระนั้น เขาเตรียมจะเอ่ยตักเตือน แต่พอเห็นสภาพใบหน้าขาวซีดร่างกายอ่อนปวกเปียกของภัยพิบัติผู้นี้ก็รู้สึกว่าการกระทำของตนเองเหมือนคนชั่วไม่มีผิด สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความคับข้องใจเหลือประมาณ
เดินไปถึงหน้าประตูยังสั่งกำชับศิษย์ฝึกหัดตัวน้อย “ไปต้มยาตามใบสั่งยาที่ข้าเขียนเมื่อวานเสีย ก่อนดื่มยาให้เขากินโจ๊กรองท้องสักหน่อย อย่าปล่อยให้ท้องว่างล่ะ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยขานรับอย่างนอบน้อม
บุรุษที่อยู่ภายในห้องแม้ร่างกายอ่อนแอ ทว่าโสตประสาทกลับยังเฉียบคม เขาหัวเราะเบาๆ
คนผู้นี้นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
ทว่าบุตรสาวของเขานั้น…
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดถึงตอนตนเองเพิ่งฟื้นคืนสติเมื่อครู่ ทันทีที่ลืมตาก็เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่กำลัง ‘ดูแล’ ตนเองจ้องมองมาด้วยสีหน้าขัดเขินทำอะไรไม่ถูก แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ…หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้าดุจเดียวกับแม่ทัพหญิงจ้าวฉงอี!
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นมืดมนขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าจ้าวฉงอีเคยเห็นเขาหรือไม่ เขากลับเคยเห็นหน้านางจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง
วันนั้นนางได้รับชัยชนะกลับมา ทุกตรอกในเมืองหลวงล้วนว่างเปล่า ผู้คนพากันไปต้อนรับแม่ทัพจ้าวเคลื่อนทัพกลับมา นางขี่ม้าศึกสีน้ำตาลแดงดั่งเปลวเพลิง พร้อมผูกดาบศึก ‘คุนอู๋’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไว้บนหลัง ยิ้มแย้มโบกมือทักทายไปตลอดทาง ดึงดูดสายตาเลื่อมใสชื่นชมของคนหนุ่มสาวกับถุงหอมปักลายและผ้าเช็ดหน้ามานับไม่ถ้วน…ยังมีบุรุษโยนพัดพับไปให้ด้วยซ้ำ ช่างคึกคักมีชีวิตชีวา มีหน้ามีตาอย่างที่สุดโดยแท้
ในตอนนั้นเขายืนอยู่บนชั้นสองของหอตำราติดกับถนนกำลังจัดการธุระ จึงได้มองดูนางจากระยะไกล
มาพบหน้ากันอีกครั้งก็คือการต่อสู้อันดุเดือดบนหน้าผาในคืนนั้น เขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นท่วงทีสง่างามของแม่ทัพหญิงผู้นั้นแล้ว บาดแผลบนร่างกว่าครึ่งในเวลานี้ต้องขอบคุณนางที่มอบให้
…สรุปว่านางจำข้าได้หรือไม่
ยังมีสายตาก่อนเดินออกไปนั่นอีก มันหมายความว่าอย่างไร บอกใบ้ว่านางจะมาหาข้าอีกใช่หรือไม่
ยามนี้ผู้อื่นมีอำนาจชี้เป็นตาย เขาเป็นแค่เนื้อบนเขียง โจวเวินหรานที่เผชิญคลื่นใหญ่ลมแรงมาจนชินชาตัดสินใจว่าจะนิ่งเฉยรอดูสถานการณ์ ศัตรูไม่ขยับเขยื้อนเขาไม่เคลื่อนไหว ถ้าหากศัตรูขยับ…เขาค่อยพลิกแพลงรับมือตามสถานการณ์เอาแล้วกัน
เขายังรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่เมื่อครู่ตาเฒ่านั่นมาถึงประจวบเหมาะเกินไป มิเช่นนั้นฉวยจังหวะขณะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็มีโอกาสโจมตีสำเร็จในคราวเดียวได้ถึงแปดส่วน
วันนี้เกรงว่าคงหาโอกาสลงมืออีกได้ยากแล้ว
ว่าแต่…เหตุใดตาเฒ่าผู้นั้นถึงเรียกนางว่าเสี่ยวหม่าน
จ้าวฉงอีมีบิดาเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน นางมิใช่เติบโตมาในค่ายลั่วเยี่ยนโดยไร้บิดามารดาหรอกหรือ
เขาเคยได้ยินประวัติความเป็นมาของแม่ทัพจ้าวผู้นี้ กล่าวกันว่าเป็นหญิงสาวกำพร้าทั้งบิดาและมารดา เมื่อครั้งเยาว์วัยยอมรับหัวหน้าค่ายลั่วเยี่ยนจ้าวอวิ๋นจู่เป็นบิดาบุญธรรมเพื่อให้มีอาหารประทังชีวิต ปรากฏว่านางมีแก่นกระดูกน่าอัศจรรย์ยิ่งและพรสวรรค์เลิศล้ำเหนือคนทั่วไป ทักษะวิทยายุทธ์ที่มีเรียกได้ว่าเป็นสีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม* จ้าวอวิ๋นจู่ให้ความสำคัญกับนางเต็มที่ ก่อนสิ้นลมไม่ได้มอบค่ายลั่วเยี่ยนให้บุตรสาวแท้ๆ ของตนเองอย่างจ้าวหนานชิว กลับมอบให้บุตรสาวบุญธรรมอย่างจ้าวฉงอี ส่วนจ้าวฉงอีก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง นางนำกำลังคนค่ายลั่วเยี่ยนไปขอพึ่งบารมีฝ่าบาทที่ตอนนั้นยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ สยบความวุ่นวายในบ้านเมือง สร้างผลงานการรบอย่างเลื่องชื่อ ภายหลังฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็มีราชโองการให้กวาดล้างเภทภัยโจรผู้ร้ายแต่ละท้องที่ ค่ายโจรน้อยใหญ่ถูกถอนรากถอนโคน ค่ายลั่วเยี่ยนในเวลานั้นกลับกลายเป็นกองทัพสกุลจ้าวของฝ่าบาท ช่างน่าเกรงขามหาใดเปรียบ
คืนนั้นเขาเห็นนางถูกลอบยิงธนูจนบาดเจ็บต่อหน้าต่อตา ตอนพลัดตกหน้าผากลับไม่อาจคว้าตัวนางได้ทันท่วงที เขายังอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียฝ่าบาทก็มีรับสั่งมาว่าต้องจับเป็น ไม่อาจทำร้ายนางถึงแก่ชีวิต ผลสุดท้ายนางยังมีแรงกระโดดโลดเต้น เขากลับเจอแผนการชั่วของคนถ่อย ถูกพิษจนขยับไม่ได้และอยู่ใต้การควบคุมของผู้อื่น…
ผู้บัญชาการโจวคิดถึงตรงนี้ก็หลับตาลงเงียบๆ เขาต้องฟื้นฟูร่างกายสะสมกำลัง!