บทที่ 6 เด็กเกเร
ตอนจ้าวฉงอีเดินออกจากห้อง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว นางยืดเส้นเอ็นและกระดูกเล็กน้อย จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา สังเกตเห็นเสื้อผ้ามีคราบเลือดเป็นด่างดวงกองอยู่ตรงมุมหนึ่งด้านข้าง นางจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าสีเทาขะมุกขะมอม เมื่อลองยื่นมือออกไปสัมผัส เนื้อผ้านี้ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่เปรอะเปื้อนคราบเลือดเต็มไปหมด ตรงช่วงหน้าอกหน้าท้อง บนหัวไหล่และบนแขนต่างถูกกรีดขาด อีกทั้งรอยขาดยังไม่ใช่เล็กๆ ด้วย มองแวบแรกก็รู้ว่าถูกอาวุธมีคมทำร้าย…จากเสื้อผ้าชุดนี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้าของเสื้อผ้าผ่านสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นไรมา
จ้าวฉงอีลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดในใจว่าโลกนี้อันตรายยิ่ง ฝ่าบาทต้องแบกรับภาระหนักอึ้งและฝ่าฟันอีกยาวไกลจริงๆ
“เสี่ยวหม่าน เจ้ากำลังทำอะไร” ขณะกำลังถอนหายใจ จู่ๆ น้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุกของบิดาก็ดังมาจากด้านหลัง
จ้าวฉงอีหิ้วเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วหันกลับไปตามเสียงโดยไม่รู้ตัวก็มองเห็นใบหน้าดุร้ายเหมือนมารดาเลี้ยงใจยักษ์ของท่านพ่อซู…
“ข้า…” นางเผยอปากเล็กน้อย
“เจ้าทำตัวสำรวมหน่อย! หรือเจ้ายังจะซักเสื้อผ้าให้เจ้าหนุ่มนั่นด้วย?” ท่านพ่อซูเผยสีหน้าเดือดดาลเพราะความผิดหวัง
จ้าวฉงอีก้มศีรษะมองเสื้อผ้าที่ตนเองถืออยู่ในมือ ตระหนักได้แล้วว่าบิดาเข้าใจผิด นางลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าบอกว่าข้าแค่ดูเฉยๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่”
ท่านพ่อซูโกรธยิ่งกว่าเดิม “ข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร! เป็นคนต้องกล้าทำกล้ารับสิ!”
“อ้อ…” จ้าวฉงอีล้มเลิกไม่คิดต่อต้าน
“ท่าทีเจ้านี่มันอะไร!”
“…” จ้าวฉงอีนิ่งเงียบไป นางก้มศีรษะลง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะสำรวมกิริยา ข้าไม่สามารถซักเสื้อผ้าให้ชายอื่นส่งเดชได้”
“…” ท่านพ่อซูสำลักเบาๆ รู้สึกอยู่ตลอดว่ามีตรงที่ใดไม่ถูกต้อง แต่ท่าทียามยอมรับผิดของนางก็ดีมาก ทำให้สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงแค่กระแอมแล้วเอ่ยอย่างอัดอั้นอยู่บ้าง “รู้ก็ดีแล้ว รีบกลับห้องไปเสีย!”
จ้าวฉงอียอมกลับไปตามคำพูดของบิดา
นอกจากฮ่องเต้ก็ไม่มีใครกล้าตะโกนใส่นางเช่นนี้มานานแล้ว มันก็…ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว
พอเดินออกจากเรือนหน้าก็ได้กลิ่นหอมหวานของโจ๊กโชยมา คงเป็นยายเฒ่าเฝิงกำลังทำอาหารเช้าอยู่
ยายเฒ่าเฝิงเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง นางไร้บุตรชายและบุตรสาว อีกทั้งยังไร้ที่ไปด้วย จึงมาอยู่กับสกุลซูคอยทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้
ในตำบลตงหลีสกุลซูก็ไม่นับว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงแม้จะเปิดโรงแพทย์ แต่เด็กน้อยในบ้านต้องเรียนหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่ต้องการค่าใช้จ่ายก้อนโต ท่านพ่อซูยังเป็นคนดีที่ภายนอกดูเย็นชาแต่จิตใจอบอุ่น บ้านใครกำลังลำบากมาขอยาถามหาหมอก็ไม่ยอมเก็บเงินของผู้นั้น บางครั้งยังต้องจ่ายค่ายาเองด้วยซ้ำ…ตามหลักแล้วไม่มีทางหาคนมาเป็นบ่าวรับใช้ไหว ความจริงเป็นเพราะยายเฒ่าเฝิงถูกครอบครัวสามีขับไล่ออกมา ส่วนบ้านเดิมก็ไม่อนุญาตให้นางกลับไป พอท่านพ่อซูเห็นว่านางน่าสงสารเหลือเกินจึงยอมรับนางเอาไว้ แต่ละเดือนให้ค่าแรงทำงานเป็นเงินสามเฉียน* รวมถึงอาหารการกินและความเป็นอยู่
แม้จะไม่ได้เขียนสัญญาขายตัว แต่ยายเฒ่าเฝิงปักใจแน่วแน่แล้วว่าจะอยู่ที่สกุลซู ปกติเป็นคนมือเท้าขยันขันแข็งยิ่งนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือยายเฒ่าเฝิงมีฝีมือการทำครัวเป็นเลิศ บะหมี่ไก่ฉีกชามนั้นที่นางกินตอนเพิ่งตื่นขึ้นมาก็เป็นฝีมือของยายเฒ่า เมื่อย้อนคิดถึงรสสัมผัสนั้นนางก็พลันรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา