ซูปั้นซย่าเห็นนางไม่ตอบก็ยิ่งพูดจาอวดดีกว่าเดิม ทึกทักไปเองว่าจับจุดอ่อนของนางได้ “พูดมาสิ ดึกดื่นปานนั้นท่านไม่อยู่ในห้อง ไปที่ใดมากันแน่”
จ้าวฉงอีมองดูเจ้าเด็กเกเรคนนี้ แย้มยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าต้องหลบหน้าข้าด้วย ไปทำเรื่องน่าละอายใจอะไรมาใช่หรือไม่”
ซูปั้นซย่าตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมเหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางคล้ายคนร้อนตัว
“หืม?” เห็นเด็กหญิงท่าทางเหมือนที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง จ้าวฉงอียิ่งเพิ่มแรงกดดัน
ซูปั้นซย่าไหนเลยจะต้านทานแรงกดดันจากแม่ทัพใหญ่จ้าวได้ แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่รองถึงกลายเป็นคนน่ากลัวเช่นนี้ แต่ก็ก้มศีรษะลงเพราะแบกรับไม่ไหว ยืนคอตกพลางบ่นพึมพำ
“ขออภัยได้หรือไม่เล่า…”
“หมายความว่าเจ้าทำเรื่องบางอย่างที่ผิดต่อข้าสินะ” จ้าวฉงอีอยากซักไซ้เด็กหญิงผู้นี้มานานแล้ว เพราะนางทำเหมือนตนเองมีความลับเล็กๆ อยู่กับตัวตลอด ผลสุดท้ายคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันไปหานางเลย นางกลับเป็นฝ่ายเข้ามาติดกับเอง
เอ๊ะ ‘เข้ามาติดกับเอง’ คำนี้ทำให้จ้าวฉงอีนึกถึงผู้บัญชาการโจวแห่งหน่วยเทียนฉีผู้นั้นขึ้นมา รังสีข่มขวัญที่แผ่ออกมายิ่งรุนแรงขึ้น
ดวงตาซูปั้นซย่าสั่นไหวไม่หยุด นางต้านทานแรงกดดันไม่ไหวจริงๆ “ข้าไม่รู้ว่าท่านจะขึ้นเขาลึกไปเพื่อหลบพี่เจิ้ง…” พูดไปพูดมาก็เบะปาก “พี่เจิ้งไม่ใช่คนโหดโฉดชั่วที่ใดสักหน่อย เขาดูเป็นคนใช้ได้ออก…”
นัยน์ตาจ้าวฉงอีเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย ซูเสี่ยวหม่านทำเพื่อหลบ ‘พี่เจิ้ง’ คนนี้ถึงได้ขึ้นเขาลึกไป?
“แสดงว่าเจ้าไปบอกพี่เจิ้งว่าข้าอยู่ที่ใดโดยพลการ?” จ้าวฉงอีคาดเดา
ซูปั้นซย่ายอมรับเงียบๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก
จ้าวฉงอีเลิกคิ้ว กำลังตั้งใจจะสอบถามว่า ‘พี่เจิ้ง’ เป็นคนเช่นไรกัน ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาจากด้านข้าง เข้าไปบิดหูของซูปั้นซย่าด้วยความรวดเร็วฉับไวท่ามกลางสายตาตกตะลึงของจ้าวฉงอี
“โอ๊ย เจ็บๆๆ ท่านแม่ๆๆ ท่านปล่อยมือเถอะ…” ซูปั้นซย่าร้องโอดครวญ
“เจ้าคนสารเลวเจิ้งจื่ออั๋งนั่นดีตรงที่ใดกัน! ก็แค่อันธพาลขี้เกียจสันหลังยาวคนหนึ่งเท่านั้น! เขามันคางคกอยากกินเนื้อหงส์* เจ้าก็ดีเหลือเกินนะ กลับไปช่วยเหลือคนนอก เจ้านี่มันพวกสายตาตื้นเขิน อันธพาลนั่นให้ผลประโยชน์อะไรเจ้ามา ถึงได้ทำร้ายพี่สาวเจ้าเช่นนี้!” ท่านแม่ซูบิดหูซูปั้นซย่าอย่างแรง กัดฟันกรอดต่อว่าเป็นฉากๆ ด้วยความโมโหจนแทบหายใจไม่ทัน
จ้าวฉงอีจับใจความถ้อยคำที่มีประโยชน์บางส่วนได้จากคำพูดของท่านแม่ซู ‘พี่เจิ้ง’ ที่ซูปั้นซย่ากล่าวถึงผู้นี้มีนามว่าเจิ้งจื่ออั๋ง เป็นอันธพาลขี้เกียจสันหลังยาว อย่างน้อยในสายตาท่านแม่ซูก็เป็นเช่นนี้ ทั้งยังเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ตัวหนึ่ง
ส่วนทางซูปั้นซย่าทั้งเจ็บทั้งน้อยใจจึงร้องไห้โฮ ร้องไปร้องมาก็เงยหน้าขึ้นมองพี่สาวที่แต่ก่อนจะคอยห้ามทัพเสมอ ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายกำลังกอดอกมองดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ นางพลันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
จ้าวฉงอีรับสายตาจากเด็กหญิงเอาไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน และยังมีความรู้สึกว่าตนคว้าชัยได้โดยไม่ต้องต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยมด้วย
ชิ เด็กเหลือขอจะสู้กับนาง นางยังไม่ทันออกกระบวนท่า เจ้าเด็กเกเรคนนี้ก็ขัดแข้งขาตนเอง เป็นทหารพ่ายดั่งเขาถล่มเสียแล้ว พลังต่อสู้เทียบกับจ้าวหนานชิวตอนเด็กๆ ยังห่างชั้นอีกไกลนัก ตอนนั้นนางตีจ้าวหนานชิวไปตั้งหลายยก ถึงทำให้อีกฝ่ายยอมรับนางได้
“เสี่ยวหม่าน เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมาหรือ” ขณะท่านแม่ซูบิดหูบุตรสาวคนเล็กอยู่ก็ยังไม่ลืมหันหน้ามาแสดงความห่วงใยบุตรสาวคนโต
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกหิวนิดหน่อย จึงไปที่ห้องครัวขอของกินจากยายเฒ่าเฝิงเจ้าค่ะ” จ้าวฉงอีตอบด้วยใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู
“บนตัวเจ้าแผลยังไม่หายดีเลยนะ อย่าเที่ยววิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว กลับไปพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะไปเปลี่ยนยาให้เจ้า” ท่านแม่ซูตอบอย่างรักใคร่เมตตา
จ้าวฉงอีพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง